โดยวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ
http://www.vikrom.net/ , e-mail:
อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน
ประวัติของนิวตัน (วีดีโอ) 4 ตอน
Sir Isac Newton
กำเนิดหนูน้อยนิวตัน 1/4
"หากผมมองเห็นได้ไกลกว่าผู้อื่น เพราะผมยืนอยู่บนหลังยักษ์ใหญ่ " เป็นคำพูดของอัจฉริยะบุคคลนามว่านิวตัน ปี 1642 หนูน้อยนิวตันได้ลืมตาดูโลก คุณแม่แอนนาแต่งงานใหม่ และจากหนูน้อยนิวตันไปกว่า 8 ปี เมื่อคุณแม่กลับมา แอนนาได้วางแผนการศึกษาให้กับนิวตัน เมื่อตอนเด็ก นิวตันเป็นเด็กเก็บตัว เมื่อเขาอายุ 17 ปี แม่เรียกให้เขากลับไปทำนา แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เขาได้เรียนต่อ นิวตันต้องเรียนและทำงานไปด้วย ช่วงนี้เขาได้ศึกษาปรัชญากลไกของเดสคาร์ต
Sir Isac Newton
แท่งแก้วปริซึม 2/4
นิวตันทดลองในห้องมืด โดยเจาะรูเล็กๆให้แสงเข้า เขานำแท่งแก้วปริซึมไปกั้นแสงไว้ เกิดสีสรรมากมาย หลังจากแสงผ่านแท่งแก้วปริซึม
นิวตันสร้างกล้องโทรทัศน์ด้วยตนเอง มีคนสนใจกล้องของเขามากมาย การค้นพบเรื่องแสงของนิวตัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น คือท่านโรเบิร์ตฮุคไม่พอใจ และบีบคั้นจนนิวตันเกิดความเบื่อหน่ายไม่อยากแสดงผลงานใดๆไปอีก 9 ปี นิวตันเป็นคนที่นับถือพระเจ้า หลักปรัชญาของเดสคาร์ตดึงพระเจ้าออกจากธรรมชาติ ทำให้เขากังวลใจกับหลักปรัชญานี้
Sir Isac Newton
ไขปัญหาที่ซับซ้อน 3/4
นิวตันเป็นคนที่รักคุณแม่มาก ปี 1679 คุณแม่เสียชีวิต ทำให้เขาเสียใจมาก
เขาได้ถกเถียงปัญหาวิชาการกับ ท่านโรเบิร์ตฮุคเรื่องสุริยจักรวาล ปี 1684 โรเบิร์ตฮุค และเอ็ดมันส์ ฮัลเลย์ นัดพบกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ถกเถียงกันหน้าดำคร่ำเครียด แต่ตอบคำถามบางอย่างไม่ได้ พวกเขาจึงไปสอบถามนิวตัน ถึงได้ทราบว่า นิวตันได้ตอบคำถามนี้ได้ตั้งนานแล้ว ปี 1687 หนังสือ Principia ได้ถูกพิมพ์ขึ้นครั้งแรก
Sir Isac Newton
หนังสือ Principia 4/4
การตีพิมพ์หนังสือเล่มนี ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังขึ้นมา นิวตันได้เป็นสมาชิกสภาของเคมบริดส์ และได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและสังคม ทำให้เขาเปลี่ยนไป จากคนสันโดด กลายเป็นคนดัง
ปี 1963 นิวตันมีอาการประสาท เขาได้ตำแหน่งเป็นผู้ดูกรมกษาปณ์ ช่วงเวลานี้ทำให้เขาได้ศึกษาคณิตศาสตร์อย่างลึกซึ้ง นิวตันไม่เคยแต่งงาน เขาอยู่กับหนังสือได้ตลอดเวลา เมื่อโรเบิร์ตฮุค เสียชีวิตในปี 1703 เขาได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานขอวสมาคม เขายังได้ตีพิมพ์ผลงานเรื่องแสง ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
คลิกค่ะ
เมื่อประมาณ 400 ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักโลกใบนี้อย่างแท้จริงเว้นเสียแต่กาลิเลโอ ผู้ประดิษฐ์กล้องส่องทางไกล ทำให้เขาสามารถมองได้ไกลกว่าคนปกติและกล้องส่องทางไกลของเขาที่นำมาพัฒนาจนสามารถค้นพบว่าโลกของเราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ยังมีดาวเคราะห์ต่าง ๆ อยู่รวมกันจนเกิดเป็นจักรวาล ถือเป็นครั้งแรกของมนุษยชาติที่รู้ว่าโลกเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของทุก ๆ สรรพสิ่งอย่างที่คนยุคโบราณเชื่อและในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่กาลิเลโอเห็นนั้นก็หาใช่ดินแดนสวรรค์อย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ และข้อสำคัญไม่ได้เป็นที่ประทับของพระเจ้า ซึ่งถือเป็นการช่วยไขความงมงายของคนในอดีต
ต่อมาในช่วง 300 ปีที่ผ่านมา ก็มีชายอีกคนหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ได้รู้จักโลกของเรามากขึ้น เมื่อเขาค้นพบว่าการที่สรรพสิ่งสามารถอยู่บนพื้นโลกโดยไม่หลุดลอยออกไปนอกโลกเนื่องจากการที่โลกมีแรงดึงดูด และเป็นทฤษฎีเดียวกันของระบบสุริยะจักรวาล
แรงดึงดูดนี้มีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางและทำให้ดาวเคราะห์ต่าง ๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์เสมอ แต่โลกก็มีแรงดึงดูดของตนเองให้เข้าสู่ใจกลาง ไม่เว้นแม้แต่ดวงจันทร์ ความรู้นี้นิวตัน เป็นผู้คิดโดยตั้งถามจากการที่เขาค้นพบว่าแอ๊ปเปิ้ลจะตกลงมาใต้ต้นเสมอ สิ่งนี้เองที่เป็นตัวชี้นำให้เขาพิสูจน์หาความจริงจนได้ทราบถึงกฎของแรงดึงดูดของโลก
นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ค้นพบว่าแสงสว่างที่เรามองไม่เห็นนั้นประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ โดยสามารถพิสูจน์จากการให้แสงกระทบผ่านแท่งแก้ว บุคคลอัจฉริยะที่มีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์จนสามารถคำนวณค่าหลาย ๆ สิ่งเป็นตัวเลขนำไปสู่การค้นพบสิ่งที่มองไม่เห็นต่าง ๆ อย่างเช่นแรงโน้มถ่วง และสิ่งที่เขาค้นพบนี่เองที่ทำให้มนุษย์เรารู้จักโลกใบนี้มากขึ้น นับว่าเขาได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับโลกอย่างมากมายมหาศาล
ประวัติ
เซอร์ ไอแซค นิวตัน เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1643 ที่หมู่บ้านเกษตรกรรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง อยู่เหนือจากกรุงลอนดอนประมาณ 200 กิโลเมตร ชื่อว่าวูลสธอร์ป-บาย-โคลสเตอร์เวิร์ธ ประเทศอังกฤษ เขาเกิดที่บ้านในฟาร์มของครอบครัว เพราะพ่อของเขาเป็นชาวนาที่มีฐานะ เมื่อตอนที่นิวตันเกิด เขากลายเป็นเด็กกำพร้าทันทีพราะพ่อของเขาที่มีชื่อเดียวกันคือ ไอแซค นิวตัน ได้เสียชีวิตก่อนที่เขาจะลืมตามาดูโลกได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น และเสียชีวิตหลังจากที่แต่งงานกับฮันนาห์ แอสคิว แม่ของนิวตัน ได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น นิวตันเป็นเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด ทำให้เขามีขนาดตัวที่เล็กมาก
เมื่อนิวตันมีอายุได้ประมาณ 3 ขวบ แม่ของเขาแต่งงานใหม่กับชายซึ่งมีอาชีพเป็นบาทหลวง โดยที่แม่ของนิวตันได้ย้ายไปอยู่กับสามีใหม่ที่หมู่บ้านนอร์ธวิธแธม โดยทิ้งนิวตันไว้ให้ยายที่ชื่อว่ามาเกอรี่ แอสคิว เป็นคนเลี้ยงดูแทน นิวตันเองก็เข้ากับยายได้ไม่ค่อยจะดีในตลอดช่วงเวลาหลายปีที่อาศัยอยู่กับยาย ทำให้ชีวิตวัยเด็กของนิวตันเป็นช่วงชีวิตที่ไม่สมบูรณ์เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ
การแต่งงานใหม่ทำให้นิวตันมีน้องต่างแม่ 3 คน คือ เบนจามิน แมรี่ และฮันนาห์ ซึ่งในเวลาต่อมาบุคคลทั้งสามนี้จะได้รับทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ที่นิวตันทิ้งไว้ให้เมื่อเขาเสียชีวิตไป นิวตันเกลียดพ่อเลี้ยงของตัวเองมาก และแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อแม่หลายอย่างเพื่อต่อต้านการแต่งงานกับพ่อเลี้ยงคนนี้ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นเด็กที่มีปัญหามาตั้งแต่เด็ก และอาจจะเป็นเหตุที่ส่งผลให้เขาเป็นคนที่มีนิสัยส่วนตัวที่ไม่ค่อยน่าคบเมื่อโตมา ดังที่ใครๆ ต่างกล่าวขวัญถึงนิสัยอันนี้
แม้เขาจะเป็นอัจฉริยะที่ชาวโลกจะได้ประจักษ์จากผลงานของเขาเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมา แต่ด้านมืดก็คือนิสัยส่วนตัวที่ไม่ค่อยจะน่าคบหา การเป็นอัจฉริยะของนิวตันต้องแลกด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ดังเช่นข้อเท็จจริงที่นักวิจัยหลายคนยืนยันว่านิวตันป่วยเป็นโรค ?แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม? ซึ่งเป็นความบกพร่องของพัฒนาการรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะตัว อยู่ในกลุ่มเดียวกับโรคออทิสติก โดยอาการของโรคนี้คือจะอาการที่เป็นความบกพร่องทางสังคม ไม่ค่อยสุงสิงกับบุคคลทั่วไป แต่มักมีความจำดี ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และชอบทำซ้ำๆ แต่จะไม่มีความบกพร่องในด้านพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสาร แต่การป่วยเป็นโรคเช่นนี้ส่งผลถึงความเป็นอัจฉริยะของเขา เพราะอาการของโรคนี้ที่สำคัญคือการที่มีความจำดี และใจจดใจจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากกว่าคนธรรมดา ก็เป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้คิดค้นและค้นพบสิ่งสำคัญของโลกที่ประสบความสำเร็จเป็นพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ
หลังจากที่ได้รับการศึกษาขั้นมูลฐานจากโรงเรียนเล็กๆใกล้กับหมู่บ้าน เมื่ออายุได้ 12 ปีนิวตันถูกส่งตัวไปเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมประจำเมืองแกรนแธม ที่มีชื่อว่าเดอะคิงสกูล ด้วยความที่นิวตันเป็นคนเก็บตัวไม่ชอบสุงสิงกับเพื่อนในวัยเดียวกันเวลาว่างส่วนใหญ่เขาจึงใช้ไปกับการอ่านหนังสือ ค้นคว้า และประดิษฐ์สิ่งต่างๆ และเป็นเรื่องโชคดีของนิวตันที่นายคลาร์กผู้ที่เขาไปอาศัยอยู่ด้วยนั้นมีอาชีพเป็นคนปรุงยาและเป็นนักสะสมขวดสารเคมี รวมไปถึงหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ไว้เป็นจำนวนมาก ทำให้นิวตันมีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่เขาชอบ และนิวตันก็ได้แสดงความสามารถทางด้านการประดิษฐ์เครื่องยนต์กลไกมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเขาสามารถประดิษฐ์กังกันลม นาฬิกาน้ำ ว่าว และหน้าปัด กล่าวกันว่าเขาสามารถประดิษฐ์รถม้าสี่ล้อได้อีกด้วย
ในปี ค.ศ. 1656 สามีคนที่สองของแม่เสียชีวิตลง แม่จึงกลับมาอยู่ที่หมู่บ้านเดิมอีกครั้ง พร้อมกับน้องต่างแม่ของเขาอีก 3 คน แม่ต้องการให้นิวตันซึ่งในตอนนั้นมีอายุได้ 15 ปี ออกจากโรงเรียน เพราะเธอต้องการที่จะให้นิวตันเป็นชาวนา แต่เขาไม่ชอบทำงานในฟาร์ม และไม่เคยสนใจหรือเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงของเขาแม้แต่น้อย เวลาส่วนใหญ่ของเขาจึงอยู่กับการอ่านหนังสือ และชอบนั่งมองดูดาวบนท้องฟ้าเพื่อสังเกตการเคลื่อนที่ของดวงดาว
สิ่งนี้เป็นเรื่องที่แสดงให้ญาติๆ ของนิวตันได้ประจักษ์อย่างชัดเจนว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่ให้นิวตันเลิกเรียนหนังสือเพื่อทำให้เขาเป็นชาวนา จากการที่ครูใหญ่ของโรงเรียนพยายามโน้มน้าวจิตใจให้แม่ของนิวตันยอมให้เขากลับมาเรียนหนังสือต่อ ดังนั้นนิวตันจึงถูกส่งตัวกลับให้ไปเรียนหนังสือต่อเช่นเดิมที่เมืองแกรนแธม และเรียนจบเมื่ออายุ 18 ปี จากที่เคยเป็นเด็กไม่ค่อยสนใจเรียน เขากลับมาตั้งใจเรียน และมีผลการเรียนที่ดีมากเมื่อเรียนจบ
หลังจากนั้นนิวตันได้รับทุนการศึกษาจากวิทยาลัยทรินิตี้เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1661 แต่เขาต้องทำงานในครัวและงานอื่นๆ ภายในวิทยาลัยแทน ขณะนั้น การศึกษาที่วิทยาลัยทรินิตี้จะเรียนเกี่ยวกับแนวคิดและผลงานของอริสโตเติ้ล แต่นิวตันต้องการที่จะอ่านตำรับตำราของนักปรัชญาสมัยใหม่ที่มีแนวคิดก้าวหน้ามากกว่า ยกตัวอย่างเช่น เดส์การ์ต หรือนักดาราศาสตร์คนอื่นๆ อย่างเช่นกาลิเลโอ
ระหว่างเรียนปีแรกๆ นิวตันไม่ได้แสดงให้เห็นแววความสามารถในด้านใดเป็นพิเศษ แต่ ?ไอแซก บาร์โรว์? ผู้ดำรงตำแหน่ง ?เมธีคณิตศาสตร์ลูเคเชียน ผู้เป็นนักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งของยุโรปขณะนั้น ก็ให้การสนับสนุนและส่งเสริมเขาเป็นอย่างดี
จนในที่สุดแววอัจฉริยะของนิวตันเริ่มต้นฉายออกมา และในปี ค.ศ. 1664 ขณะที่นิวตันมีอายุได้ 22 ปี นิวตันได้สอบชิงทุนการศึกษาและสอบได้เป็นที่ 1 จากผู้ที่เข้าสอบทั้งหมด 45 คน ขณะที่ได้รับทุนเล่าเรียนอยู่นั้น นิวตันได้ศึกษาด้านปรัชญาและดาราศาสตร์ พื้นฐานความรู้เหล่านี้เสริมให้นิวตันคิดค้นวิชาคณิตศาสตร์แขนงใหม่ซึ่งกลายมาเป็นแคลคูลัสในท้ายที่สุด และในที่สุดนิวตันก็ได้จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีเมื่อเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1665
ในช่วงนั้นมีการระบาดของกาฬโรค ที่คร่าผู้คนไปราว 75,000 ? 100,000 คน โรคระบาดทำให้มีการปิดมหาวิทยาลัยเป็นเวลา นิวตันจึงกลับบ้าน และเป็นโอกาสทำให้นิวตันมีเวลาในการค้นคว้าในเรื่องที่สนใจ ในช่วงเวลานั้นเป็นระยะที่เขาได้ความคิดเกี่ยวกับงานสำคัญของเขาในเวลาต่อมาหลายเรื่อง เขาคิดคณิตศาสตร์ในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า วิธีการไหล เป็นการคำนวณการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่องนิวตันสนใจในเรื่องคณิตศาสตร์ของการเคลื่อนที่ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กฎเกณฑ์ของการเปลี่ยนแปลงนี้เองทำให้เป็นที่มาของแคลคูลัส ในเรื่องของอินทิกรัลและดิฟเฟอเรนเชียล
นอกจากนี้ นิวตันได้ศึกษาค้นคว้า ?กฎการเคลื่อนที่? กล่าวคือ วัตถุเมื่อเคลื่อนที่จะเคลื่อนที่ต่อไป และถ้ามีแรงมากระทำ ก็จะเกิดการเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร่งตามแนวทิศแรงนั้น การคิดค้นกฎแห่งการเคลื่อนที่ของนิวตันเป็นที่มาของ ?กฎแห่งแรงโน้มถ่วง? และทำให้สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ได้อย่างมากมาย
เขาเกิดความคิดว่าต้องมีแรงอะไร สักอย่างที่ทำให้แอปเปิ้ลตกลงพื้นดิน เพราะนิวตันได้เห็นลูกแอปเปิ้ลหล่นลงมาจากต้นระหว่างที่เขาอยู่ที่ฟาร์มช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1666 จากความสงสัยข้อนี้เอง นิวตันจึงเริ่มการทดลองเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงของโลก การทดลองขั้น แรกของนิวตัน คือ การนำก้อนหินมาผูกเชือก จากนั้นก็แกว่งไปรอบๆ นิวตันสรุปจากการทดลองครั้งนี้ว่าเชือกเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ก้อนหินแกว่งไปมารอบ ๆ ไม่หลุดลอยไป ดังนั้นสาเหตุที่โลก ดาวเคราะห์ ต้องหมุนรอบดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ต้องหมุนรอบโลกต้องเกิดจากแรงดึงดูดที่ดวงอาทิตย์ที่มีต่อโลก และดาวเคราะห์ และแรงดึงดูดของโลกที่ส่งผลต่อดวงจันทร์ รวมถึงสาเหตุที่แอปเปิ้ลตกลงพื้นดินด้วยก็เกิดจากแรงดึงดูดของโลกด้วย
นอกจากงานคิดค้นในเรื่องคณิตศาสตร์แล้ว นิวตันยังประสบผลสำเร็จอีกมากมาย เช่น เขาพบว่าเมื่อเอาปริซึมรับแสงที่ส่องผ่านรูเล็กๆ ในห้องมืด แสงแดดจะแยกเป็นหลายๆ สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และ แดง ตามลำดับ เขาอธิบายว่าแสงมีการหักเหและการที่แยกเป็นสีต่างๆ เพราะมีความยาวคลื่นไม่เท่ากัน เขาเรื่องของการหักเหของแสงไปอธิบายถึงการเกิดรุ้งกินน้ำ และให้เหตุผลว่าการที่เรามองเห็นวัตถุเป็นเพราะว่ามีการสะท้อนกลับของแสงจากวัตถุมาเข้าตาเราทำให้มองเห็นว่า วัตถุนั้นมีสีอะไร
การค้นพบนี้ได้ช่วยอธิบายว่า เหตุที่ภาพที่เห็นภายในกล้องโทรทรรศน์ที่ใช้เลนส์แก้วไม่ชัดเจนก็เนื่องมาจากการหักเหของพู่กันรังสีของลำแสงที่ผ่านแก้วเลนส์ ทำให้มุมหักเหต่างกันมีผลให้ระยะโฟกัสต่างกันด้วย จึงเป็นไม่ได้ที่จะได้ภาพที่ชัดด้วยเลนส์แก้ว การค้นพบนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานให้มีการพัฒนากล้องโทรทรรศน์แบบกระจกเงาสะท้อนแสงที่สมบูรณ์ในเวลาต่อมา
ต่อมา นิวตันกลับมาที่เคมบริดจ์ เพราะนิวตันได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักศึกษาที่เรียนระดับปริญญาโทที่ได้รับทุนการศึกษา และเป็นผู้ช่วยนักวิจัย เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1667 ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1668 นิวตันก็จบการศึกษาในระดับปริญญาโท
ระหว่างปี ค.ศ. 1666 ? 1669 การศึกษาค้นคว้าของนิวตันมีหลายด้าน นิวตันเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความพิถีพิถันในการทำงาน การทำการทดลองของนิวตันจะมีระเบียบแบบแผนและมีการทดลองซ้ำหลายครั้งเพื่อขจัดของผิดพลาดที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการจดบันทึกที่มีระบบและมีรายละเอียด นิวตันได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมามีชื่อว่า ?Analysu per Equationes Numero Terminorum Infinitas? ซึ่งเขาได้มอบงานชิ้นนี้ให้กับไอแซค บาร์โรว์ ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่ง Lucasian professor of mathematics
ไอแซค บาร์โรว์ ชื่มชมนิวตันมากว่าเป็นอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์ และพยายามส่งเสริมนิวตัน หลังจากนั้นไอแซค บาร์โรว์ ลาออกจากการเป็นศาสตราภิชาน หรือ ?เมธีคณิตศาสตร์ลูเคเชียน? เพื่อเปิดโอกาสให้นิวตันผู้เป็นศิษย์รับตำแหน่ง ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญที่จะเป็นการรับประกันว่านิวตันจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสืบต่อจากเขา นิวตันได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้สืบต่อจากไอแซค บาร์โรว์ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1670 นิวตันได้กลายเป็นศาสตราจารย์ด้วยวัยเพียงอายุ 27 ปี ซึ่งหน้าที่การเป็นศาสตราจารย์ของเขาคือการสอนอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ คือสอนวิชาเราขาคณิต เลขคณิต ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ทัศนศาสตร์ สถิตยศาสตร์ หรือวิชาทางด้านคณิตศาสตร์อื่นๆ และต้องทำหน้าที่คอยเป็นที่ปรึกษาให้กับนักศึกษาที่มีข้อสงสัยหรือปัญหาทางด้านการเรียนอย่างน้อยสองชั่วโมงต่อสัปดาห์ วิชาที่นิวตันเลือกสอนคือวิชาทัศนศาสตร์
ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1671 นิวตันได้รับการเสนอชื่อให้เป็นสมาชิกของราชสมาคม ซึ่งเป็นสมาคมชั้นนำของนักวิทยาศาสตร์ในประเทศอังกฤษ และในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1672 เขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของสมาคมแห่งนี้ ในระหว่างการประชุมเพื่อคัดเลือกเขา นิวตันได้อ่านรายละเอียดของกล้องโทรทรรศน์แบบใหม่มีตัวสะท้อนแสง ที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาระหว่างทำงานที่เคมบริดจ์ และอธิบายถึงแนวคิดเรื่องธรรมชาติของแสงที่เขาค้นพบ
ถึงแม้เขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ แต่เขากลับเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ เชื่อในเรื่องทฤษฎีที่ว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อโชคชะตาของคน เขาได้ศึกษาเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถเปลี่ยนโลหะ เช่น ทองแดงเป็นทองคำได้ ในสมัยนิวตันผู้คนมีความเชื่อกันเช่นนี้มากซึ่งปัจจุบัน การเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งต่อมาได้มีพัฒนาการจนเป็นศาสตร์ด้านวิชาเคมีในปัจจุบัน แต่เดิมนั้นการเล่นแร่แปรธาตุถูกมองว่าเป็นเรื่องเวทมนตร์หรือไสยศาสตร์ หลังจากใช้เวลาค้นคว้า 4 ถึง 5 ปี นิวตันประสบผลสำเร็จเพียงเล็กน้อย และได้ตัดสินใจยุติการค้นคว้าด้านนี้ลงในปี ค.ศ. 1679
นิวตัน ยังได้ทำนายไว้เมื่อ ค.ศ. 1704 ว่า โลกจะถึงกาลอวสานในปี ค.ศ. 2060 ซึ่งเขาเขียนไว้ในจดหมายทำนายอนาคตโลก เขาเขียนบรรยายว่าโลกจะพบกับอวสาน หลังจากการวางรากฐานของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในยุโรปตะวันตก ซึ่งเป็นการทำนายโดยอาศัยการอ้างอิงจากพระคัมภีร์ไบเบิล และถูกนำออกมาแสดงที่มหาวิทยาลัยฮิบรูว์ ในนครเยรูซาเลม อิสราเอล ที่นิวตันยกให้เป็นมรดกแก่มหาวิทยาลัยฮิบรูว์ ซึ่งถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดีพร้อมต้นฉบับงานเขียนทางวิทยาศาสตร์ของเขา
จากนั้นในปี ค.ศ. 1696 เมื่อมีอายุ 54 ปี เขาก็ย้ายไปอยู่ที่กรุงลอนดอน เพื่อรับผิดชอบช่วยแก้ปัญหาการทำเหรียญปลอมโดยการทำขอบเหรียญให้เป็นร่องเพื่อให้สังเกตได้ง่าย นิวตันได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลโรงผลิตกษาปณ์เนื่องจากรัฐบาลต้องการบุคคลที่ซื่อสัตย์สุจริตและมีความเฉลียวฉลาด เพื่อต่อสู้กับการปลอมแปลงที่ดาษดื่นมากขึ้นในขณะนั้น ส่วนธนบัตรนิวตันได้ค้นพบวิธีการพิมพ์แบบลายน้ำลงในธนบัตร วิธีการของนิวตันใช้ได้ดีมาก และทำให้เงินปลอมในประเทศอังกฤษหมดไป 4 ปีต่อมา เขาได้เป็นผู้อำนวยการกองกษาปณ์ของราชสำนัก ซึ่งผลิตเหรียญที่ใช้กันในประเทศ เขาจริงจังกับงานชิ้นนี้มาก เขาได้เปลี่ยนการอ้างอิงค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงจากมาตรฐานเงินมาเป็นมาตรฐานทองคำ นับเป็นการปฏิรูปการเงินที่สำคัญในยุคนั้น ในที่สุดเขาลาออกจากการทำงานที่เคมบริดจ์ในปี ค.ศ. 1701 หลังจากทำงานที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นเวลาร่วม 35 ปี
การทำงานในบทบาทนี้นำมาซึ่งความมั่งคั่งและเสถียรภาพทางด้านการเงินของอังกฤษ นิวตันได้นำทักษะและความสามารถทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ในการทำงานที่กรมธนารักษ์ โดยพัฒนาเหรียญกษาปณ์ให้ทันสมัย จนทำให้นิวตันได้รับ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นขุนนางตำแหน่ง ?เซอร์? ในปี ค.ศ. 1705 จากพระราชินีแอนน์
โดยที่หลายๆ คนมักจะคิดว่าการได้รับตำแหน่ง ?เซอร์? นี้ มาจากผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์ของเขา โดยเขาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น ?เซอร์? เมื่อมีอายุ 60 ปีแล้ว และเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ได้รับพระราชทานยศ "อัศวิน"
นิวตันใช้ชีวิตในบั้นปลายภายใต้การดูแลของหลานสาว เพราะเขาไม่เคยแต่งงาน แต่ก็มีความสุขเป็นอย่างมากในการอุปการะนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังๆ เขายังคงทำงานค้นคว้าด้านวิทยาศาสตร์ต่อไป เขาทำงานอย่างหนักจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ส่วนอาหารก็กินเป็นเวลาบ้างไม่เป็นเวลาบ้าง ทำให้สุขภาพของเขาทรุดโทรมลงเรื่อยๆ และล้มป่วย แต่เมื่ออาการทุเลาลงนิวตันก็ลุกขึ้นมาทำงานของเขาต่อไป
เซอร์ ไอแซค นิวตัน ถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 84 ปี เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1727 และถูกฝังในสุสานวิหารเวสมินสเตอร์ พร้อมคำจารึกว่า "Mortals, congraturate yourselves that so great a man live for the honer of the human race" วิหารเวสต์มินสเทอร์ แอบบี ในกรุงลอนดอน เป็นสถานที่ฝังพระศพของกษัตริย์ ราชินี และเชื้อพระวงษ์ชั้นสูงเท่านั้น แม้ว่าทุกคนจะระลึกถึงเขาว่าเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง แต่ตัวเขาเคยพูดว่า ?ฉันมองได้ไกลกว่าคนส่วนใหญ่ก็เพราะฉันยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์?
Views: 3012Only registered users can write comments. Please login or register.
Powered by AkoComment Tweaked Special Edition v.1.4.6 AkoComment © Copyright 2004 by Arthur Konze - www.mamboportal.com All right reserved