|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:35:11 pm » |
|
สายรุ้งที่สมบูรณ์ที่สุด (Perfect Rainbow) รุ้ง ที่งดงามที่สุดนั้นคือรุ้งที่แสดงให้เห็นชัดเจนทุกเฉดสีตั้งแต่ต้นจนจบวง ไม่ขาดกลาง พาดเป็นครึ่งวงกลมจรดผืนดิน หากใครสงสัยว่ารุ้งสามารถเป็นได้เต็มเป็นวงกลมหรือไม่ คำตอบก็คือทั้งได้และไม่ได้ ที่เต็มวงไม่ได้เพราะมีพื้นดินมาบังเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ตามทฤษฎีเขาบอกว่าถ้าเราบินได้ไปอยู่เหนือละอองน้ำ มองไปในหุบเขาก็จะเห็นเต็มวงได้เช่นกัน
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:36:08 pm » |
|
.....แล้วมันเกิดขึ้นได้ไงละ?.....
ฟ้าหลังฝนนั้นเต็มไปด้วยละอองน้ำเม็ดเล็กๆ เต็มไปหมด เมื่อแสงสีขาวจากดวงอาทิตย์ตกกระทบเม็ดน้ำ ก็จะหักเห (refract) เข้าไปในเม็ดน้ำ แสงสีขาวนั้นประกอบไปด้วยสี ม่วง-คราม-น้ำเงิน-เขียว-เหลือง-แสด-แดง แต่แสงสีต่างๆ หักเหได้ไม่เท่ากัน ผลก็คือ แสงสีขาวแตกกระจายเป็นแสงสีต่างๆ ในเม็ดน้ำ เมื่อแสงสีต่างๆ ตกกระทบผิวด้านในของเม็ดน้ำก็จะสะท้อน 1 ครั้ง จากนั้นก็จะหักเหออกมาจากเม็ดน้ำสู่ภายนอก มาเข้าตาเรา...... แสงสีแดงเข้าสู่ตาเราด้วยมุมเงยที่สูงกว่า จึงปรากฏอยู่ด้านบนของสายรุ้งตัวแรกนี้ แสงสีม่วงนั้นมีมุมเงยต่ำกว่า จึงอยู่ด้านล่าง นี่คือ รุ้งที่เราเห็นได้ชัด เรียกว่า รุ้งปฐมภูมิ (primary rainbow)
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #3 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:37:47 pm » |
|
คราวนี้มาดูการกำเนิดรุ้งตัวที่สอง (ภาพด้านซ้าย) แสงสีขาวพุ่งเข้าไปในหยดน้ำ แล้วก็ หักเห จากนั้นก็สะท้อน 2 ครั้ง (เลข 2)แล้วจึงหักเหออกจากเม็ดน้ำ พุ่งเข้าสู่ตาของเรา แต่รุ้งตัวที่สองนี้มีสีม่วงมีมุมเงยมากกว่า สีแดงน้อยกว่า ผลก็คือ สีม่วงอยู่ด้านบน สีแดงอยู่ด้านล่าง สลับสีกับตัวแรกคล้ายภาพสะท้อน แต่จะอยู่สูงกว่าตัวแรกเสมอ (ถ้ามองเห็นได้) รุ้งตัวที่สองนี้มีชื่อว่า รุ้งทุติยภูมิ (secondary rainbow)
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:38:36 pm » |
|
........ภาพรุ้งสองชั้น
รุ้งสองชั้น (supernumerary rainbow) รุ้งตัวแรก เรียกว่าปฐมภูมิ ตัวที่สองคือ ทุติยภูมิ ตัวแรกจะเห็นได้ชัดที่สุด มีสีแดงโค้งอยู่บนสุด และสีม่วงอยู่ล่างสุดเสมอ ส่วนรุ้งตัวที่ 2 นั้นจะสลับสีกัน เอาม่วงไปอยู่ล่างสุดและแดงกลับมาอยู่ด้านบนสุด รุ้งที่เกิดการหักเหของแสง 2 ครั้ง และสะท้อนออกมา 2 ครั้ง สำหรับรุ้งแบบนี้ ว่ากันว่าเป็นรุ้งที่เกิดไม่บ่อยครับ
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:39:22 pm » |
|
.....ภาพ Morning rainbows - Norfolk England
รุ้งซ้อนแถบดำ (dark band) มอง ดูและฟังชื่อ ก็ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ความจริงเป็นแค่ปรากฏการณ์ที่รุ้งสองตัว มีการกระจายแสงเข้าหากัน และปรากฏแสงสะท้อนกลับของหยดน้ำจากรุ้งตัวแรกในด้านใน ผสมกับแสงบนท้องฟ้า และแสงสะท้อนหยดน้ำด้าน
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:40:17 pm » |
|
.........10th May 2003. ภาพโดย Ann Bowker
รุ้งสะท้อนรุ้ง (Reflection Rainbows) รุ้งแบบนี้นับว่าเห็นได้ยากมากทีเดียว ภาพนี้ถ่ายโดย Ann Bowker เมื่อปี พฤษภาคม 2003 ซึ่งปรากฏรุ้งพร้อมกัน 4 ตัว แต่ทว่าแต่ละตัวไม่เห็นเป็นวงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งอธิบายคร่าวๆ ได้ว่ารุ้งตัวแรกสะท้อนกลับแสงหยดน้ำไปยังตัวที่สอง และเมื่อมีอูณหภูมิที่อุ่นขึ้นทำให้เกิดการกระจัดกระจายของแสงแดดบนท้องฟ้า ก็เกิดรุ้งตัวอื่นๆ ถัดมา ซึ่งส่วนใหญ่พบในเบริเวณใกล้กับทะเลหรือแม่น้ำ
|
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #8 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:41:56 pm » |
|
.......ภาพ January 2004 โดย Les Cowley
รุ้งบนก้อนเมฆ (Cloudbow) ภาพนี้ถ่ายเมื่อ มกราคม 2004 โดยช่างภาพ Les Cowley ถ่ายปรากฏการณ์ที่ไม่มีฝนตกเลยสักนิด แต่เกิดรุ้งบนท้องฟ้า ผสมผสานแทรกตัวอยู่กับก้อนเมฆ เขาบอกว่าวันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวเย็นมาก และมีหมอกน้ำค้าง จึงเกิดหยดน้ำเล็กๆ ในอากาศ สร้างความชื้นที่แสดงสีสันได้โดยไม่ต้องอาศัยละอองฝน
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #9 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:42:43 pm » |
|
......December 2003 ช่างภาพโดย Tom Theis
รุ้งพระจันทร์ (Moonbow) ส่วน ใหญ่เราเห็นรุ้งกันตอนกลางวัน แต่กลางคืนก็มีรุ้งเหมือนกันครับ ภาพนี้ถ่ายได้เมื่อธันวาคม 2003 ในช่วงเวลา 20 นาทีสุดท้ายก่อนเกิดพระจันทร์ข้างขึ้น เป็นรุ้งที่หาได้ยากกว่ารุ้งอื่นๆ มากที่สุดเพราะปกติพระจันทร์มีแสงได้ไม่เท่าพระอาทิตย์ แต่หากมีแสงมากพอในคืนพระจันทร์เต็มดวง และอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฝนตก และท้องฟ้ามีสีเข้มมากพอ ก็จะปรากฏภาพได้ตามที่เห็น แต่สีจะไม่สดใสมากนักเพราะแสงไม่มากพอที่จะกระตุ้นกรวยรับแสงในสายตาของพวก เรานั่นเอง
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #10 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:43:40 pm » |
|
......รุ้งพระจันทร์ ถ่ายที่น้ำตกวิกตอเรีย อาฟริกา (ถ่ายตอนกลางคืน ใต้แสงจันทร์)
มูนโบว์ หรือ รุ้งจันทรา คือ รุ้งกินน้ำที่เกิดจากแสงจันทร์ ไม่ใช่แสงอาทิตย์
รุ้งจันทราจะค่อนข้างซีดจาง เนื่องจากแสงจันทร์มีความสว่างน้อยกว่าแสงอาทิตย์มาก เป็นเหตุให้รุ้งจันทราดูไม่ค่อยมีสีสันด้วยตาเปล่า (cone receptors ภายในตาคนเราจะมีประสิทธิภาพในการเห็นแสงสีน้อยลง ในที่ที่มีแสงน้อย) การถ่ายภาพโดยเปิดหน้ากล้องเป็นเวลานานจะทำให้เห็นสีของรุ้งชัดเจนขึ้น
บางครั้งคนจะสับสนและเรียก "พระจันทร์ทรงกลด" ว่าเป็น "รุ้งจันทรา" ทั้งๆ ที่ "พระจันทร์ทรงกลด" จัดเป็นปรากฏการณ์ประเภท "ฮาโล" ไม่ใช่ "รุ้งกินน้ำ"
รุ้งจันทราจะเห็นได้ง่ายเมื่อพระจันทร์เต็มดวงอยู่ใกล้ขอบฟ้า ต่ำกว่า 42° และท้องฟ้ามืด รุ้งจันทราจะเกิดด้านตรงข้ามกับดวงจันทร์ มีจุดศูนย์กลางจะอยู่ที่ anti-lunar point
|
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:45:29 pm » |
|
......ภาพ พระอาทิตย์ทรงกลด
รุ้งทรงกลด (Circumscribed Halo) เส้น กลมๆ เป็นวง มีสีจางๆ คล้ายรุ้ง ที่เกิดได้ทั้งรอบพระอาทิตย์และพระจันทร์ เกิดจากที่มีละอองน้ำในชั้นบรรยากาศและกระทบกับแสงอาทิตย์หรือจันทร์ สะท้อนรังสีออกมาให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม จากรัศมีของเมฆที่อยู่สูง และหยดน้ำจับตัวเป็นผลึกขนาดเล็กเมื่อเรียงตัวไปในทิศทางเดียวกันก็เกิดเป็น วงแหวนขึ้นมา บางครั้งเป็นสีเขียวเพราะเกิดจากการสะท้อนแสง แต่บางครั้งเกิดเป็นสีแดงเพราะเกิดจากการหักเหของแสง
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:46:52 pm » |
|
........แล้ว...."กลด".....เกิดขึ้นได้อย่างไรละ?
"กลด" (ร่ม) ของดวงอาทิตย์นั้นเกิดจากการที่แสงอาทิตย์หักเห (refract) ผ่านผลึกน้ำแข็โดยผลึกน้ำแข็งที่ว่านี้มักอยู่ในเมฆซีร์โรสเตตัส (cirrostratus) ซึ่งมีลักษณะคล้ายผ้าบาปิดหน้าหญิงสาว วงสีรุ้งกลมๆ หรือ "กลด" เรียกว่า ฮาโล (halo) นี้อาจเกิดได้ทั้งรอบดวงอาทิตย์ และ ดวงจ้นทร์ ถ้าเป็นดวงอาทิตย์ทรงกลด ก็ solar halo ส่วนดวงจ้นทร์ทรงกลดก็ lunar halo
|
|
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #16 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:49:28 pm » |
|
.....ทรงกลดอีกแบบกันเรียกว่า....โคโรนา (corona)
.....เป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ไม่ยากนัก แบบนี้ไงครับ โปรดสังเกตลักษณะของวงแสง ซึ่งค่อนข้างเบลอๆ ไม่คมชัด (เหมือนกรณีฮาโล) อีกทั้งแสงสีแดงๆ ส้มๆ อยู่ด้านนอก (กลับลำดับกับสีของฮาโล)
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #17 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:50:30 pm » |
|
........แล้ว...."กลด"...แบบ...โคโรนาเกิดขึ้นได้อย่างไร
...ถ้าพูดว่ากลดแบบฮาโล (ไม่ว่าดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์) เกิดจาก ผลึกน้ำแข็ง ในเมฆ
...กลดแบบโคโรนา ก็เกิดจาก หยดน้ำ (ของเหลว) ในก้อนเมฆ
.......มาดูภาพประกอบกันครับ ภาพแรก : แสงจันทราจากซ้ายมือ ส่องมายังโลก บางส่วนจ๊ะเอ๋กับหยดน้ำในอากาศ หรือในเมฆทำให้ทิศทางการเคลื่อนที่เบี่ยงเบนเฉไฉไปจากเดิมการเบี่ยงเบนเฉไฉนี้ ภาษาฟิสิกส์เรียก (แบบหรูๆ) ว่า "การเลี้ยวเบน" หรือ diffraction ออกเสียง ดิ๊ฟ-แฟร็กชั่น
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #18 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:51:34 pm » |
|
ภาพที่สอง : คิดคลื่นแสงจากดวงจันทราหลายๆ ขบวน แต่ละขบวนเลี้ยวเบนในทิศทางแตกต่างกันไปปรากฏว่า คลื่นแสงแต่ละขบวนนี้จะไปผสมผสานกัน (ภาษาฟิสิกส์เรียกว่า แทรกสอด - interfere) ทำให้บางทิศทางก็สว่างขึ้น....บางทิศทางก็มืดลง...(ตัวอย่าง : คำว่า Bright, 1st order maxima หมายถึงทิศทางที่สว่างจัดเป็นลำดับที่ 1 ตามมาด้วย Bright, 2nd order maxima ซึ่งสว่างเป็นลำดับที่ 2)
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #19 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:52:33 pm » |
|
.....รุ้งแบบ....รอยยิ้ม
รอยยิ้มของท้องฟ้า (Upside-down rainbow) บางคนเรียกภาพแบบนี้ว่ารุ้งมีตำหนิ แต่ บางคนเรียกว่ารอยยิ้มของท้องฟ้า เป็นลักษณะแสงแบบเดียวกับการเกิดแสงทรงกลด แต่เกิดการรบกวนของอูณหภูมิจึงทำให้เกิดได้ไม่เต็มวง ซึ่งอาจถือได้ว่าการเกิดทรงกลดที่บิดเบี้ยวนี้ ยังก่อให้เกิดภาพอื่นๆ ได้หลายรูปแบบอีกด้วย เช่น ภาพเมฆเรืองแสง หรือเฉดรุ้งขนาดสั้นบนท้องฟ้า
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #20 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:54:34 pm » |
|
.....แล้วไอ้เจ้ารอยยิ้มเกิดขึ้นได้อย่างไรละ?.....
.....รอยยิ้มบนท้องฟ้าหรือ CZA หรือ โค้งเซอคัมซีนิทธัล (Circumzenithal Arc) CZA เป็นปรากฏการณ์คล้ายกับการเกิดรุ้ง เกิดจากการหักเหของแสงอาทิตย์ ผ่านผลึกน้ำแข็งแนวนอนในก้อนเมฆบางประเภท
CZA มีรูปร่างเป็นโค้งสีรุ้ง ขนาดประมาณ 1 ใน 4 ของวงกลม จุดศูนย์กลางอยู่ที่จุดกลางฟ้า (Zenith) โค้งจะอยู่ขนานกับขอบฟ้า และอยู่ด้านเดียวกันกับดวงอาทิตย์ สีฟ้าจะอยู่ด้านในของโค้ง (ใกล้กับจุด zenith) ขณะที่สีแดงจะอยู่ด้านนอกของโค้ง (ใกล้กับขอบฟ้า) CZA นับเป็นฮาโลที่มีสีสันสดใส และสว่างที่สุดประเภทหนึ่งทีเดียว
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #21 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:55:24 pm » |
|
......คลื่นสีรุ้งบนท้องฟ้า ภาพโดย Cherie Ude
คลื่นรุ้ง (Nacreous Clouds) ภาพที่ว่ากันว่าหายากมากที่สุด คือเฉดสีที่มีการเคลื่อนไหวไปมา เหมือนแสงถูกลมพัด ภาพนี้ถ่ายได้เมื่อปี 2004 โดยช่างภาพ Cherie Ude ซึ่งเขาบอกว่าจำได้ไม่มีวันลืม ในช่วงหลังพระอาทิตย์ตกประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ยังมีแสงสว่างอยู่ จากแสงสว่างมีการเปลี่ยนสีเหมือนรุ้งกินน้ำ ซึ่งอธิบายว่าเกิดจากลักษณะลมในชั้นบรรยากาศที่โจมตีเข้ามา
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #22 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:56:39 pm » |
|
.......รุ้งไฟ
.....รุ้งไฟเกิดขึ้นในเมฆเซอรัส ที่ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็ง (โดยปกติ อยู่ที่ความสูง 6 กิโลเมตร เหนือน้ำทะเล) ขณะที่ดวงอาทิตย์อยู่เหนือขอบฟ้า 58°แสงอาทิตย์ส่องกระทบเกล็ดน้ำแข็งรูป 6 เหลี่ยม ที่บางและโปร่งแสง เกิดการหักเหและสะท้อน ออกมาเป็นแสงสีต่างๆ
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #23 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:57:41 pm » |
|
.......รุ้งไฟ อีกภาพ
.....รุ้งไฟเกิดขึ้นในเมฆเซอรัส ที่ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็ง (โดยปกติ อยู่ที่ความสูง 6 กิโลเมตร เหนือน้ำทะเล) ขณะที่ดวงอาทิตย์อยู่เหนือขอบฟ้า 58°แสงอาทิตย์ส่องกระทบเกล็ดน้ำแข็งรูป 6 เหลี่ยม ที่บางและโปร่งแสง เกิดการหักเหและสะท้อน ออกมาเป็นแสงสีต่างๆ
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #24 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:58:27 pm » |
|
Sundog with Storks ภาพโดย by Alex Tudorica
พระอาทิตย์สุนัข (Sundog) เป็น ภาพที่อธิบายกันว่า เมื่อพระอาทิตย์ลอยต่ำจนถูกเมฆบดบัง ก็จะเกิดแสงสว่างขึ้น 2 จุด เป็นภาพลวงตาของอาทิตย์ที่รังสีทาบความยาวตามแนวขอบฟ้า ถ้ามีปลายส่วนที่ยื่นออกมาเหมือนหางสุนัข ก็จะถูกเรียกว่า Sun Dog หรือ พระอาทิตย์สุนัข นั่นเอง
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #25 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2009, 11:59:18 pm » |
|
.....แล้วไอ้เจ้า Sundog...เกิดขึ้นได้อย่างไรละ?.....
ซันด๊อก เป็นปรากฏการณ์ทางแสงอย่างหนึ่ง มักเกิดเป็นคู่ อยู่ด้านซ้าย-ขวา ในแนวระนาบเดียวกับดวงอาทิตย์ ขนานกับพื้นดิน ซันด๊อกอาจปรากฏเป็นจุดสว่างบนฮาโล หรืออาจมีรูปร่างคล้ายกับดาวหางก็ได้ ซันด๊อกอาจมีสีรุ้งได้ โดยที่สีแดงจะอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ และสีฟ้าขาวปรากฏในส่วนหาง
ซันด๊อก เกิดจาการหักเห และการสะท้อนของแสงอาทิตย์ กับผลึกน้ำแข็งแท่ง 6 เหลี่ยมภายในเมฆเซอรัส (cirrus) หรือ เซอโรสตราตัส (cirrostratus) เมฆน้ำแข็งอื่นๆ เช่น ice fog และ diamond dust ก็สามารถทำให้เกิดซันด๊อกได้เช่นกัน
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #26 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2009, 12:00:35 am » |
|
ซันด๊อกมักเกิดเมื่อดวงอาทิตย์อยู่ใกล้กับขอบฟ้า คือหลังพระอาทิตย์ขึ้น หรือ ก่อนพระอาทิตย์ตก หรือในช่วงเดือนในฤดูหนาวในเขต mid-latitudes โดยจะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นมุม 22 องศา และจะปรากฏบนวงของฮาโลถ้าเกิดปรากฏการณ์ฮาโล
เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ในมุมที่สูงขึ้น ซันด๊อกจะเคลื่อนตัวออกห่างจากดวงอาทิตย์ แต่จะยังรักษาตำแหน่งอยู่ในแนวระนาบเดียวกับดวงอาทิตย์
เมื่อดวงอาทิตย์อยู่เกิน 45 องศา เหนือขอบฟ้า ซันด๊อกจะจางลง และอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่า 22 องศา
ซันด๊อกจะหายไป เมื่อดวงอาทิตย์อยู่สูงกว่าขอบฟ้าเกิน 61 องศา
ซันด๊อกมักเกิดร่วมกับฮาโล ฮาโลจะเกิดในกรณีที่ผลึกน้ำแข็งมีการเรียงตัวในลักษณะผสม ส่วนซันด๊อกจะเกิดในกรณีที่ผลึกน้ำแข็งมีการเรียงตัวในแนวระนาบ (เราจะเห็นเฉพาะซันด๊อกเท่านั้น ถ้ามีแต่ผลึกน้ำแข็งในแนวระนาบ)
Parhelion เป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์ของ Sun Dog ซึ่งแปลว่า "ข้างดวงอาทิตย์"
ปรากฏการณ์นี้ หากเกิดกับดวงจันทร์ จะเรียกว่า "มูนด๊อก" (Moon Dog) และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Paraselene หรือ Paraselenae (พหูพจน์ของ paraselene) มูนด๊อกจะหาดูได้ยากกว่า และจะเกิดได้เมื่อดวงจันทร์มีความสว่างมากเท่านั้น
ซันด๊อกจะพบได้ง่ายในเขตหนาว เช่น ทวีปแอนตาร์คติค และ ทวีปอาร์คติค แต่ก็เกิดได้ในเขตร้อนเช่นกัน แม้แต่ในประเทศไทย
|
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #28 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2009, 12:02:53 am » |
|
เอาความเชื่อเกี่ยวกับรุ้งในอดีตมาให้อ่านครับ
ในตำราทำนายฝันแบบ ไทยๆ นั้นบอกว่า รุ้งกินน้ำเป็นมิมิตรดีแห่งชีวิต บอกถึงเงินและชื่อเสียงที่จะได้รับ ขณะที่ความเชื่อโบราณบางชนเผ่าเชื่อว่ารุ้งคือ สะพานเชื่อมระหว่างสวรรค์กับโลก (bridge between heaven and earth ) หรือ สะพานสายฝน (bridge of the rain) เช่นเดียวกับในไบเบิ้ลที่เชื่อว่ารุ้งคือสัญญาของพระเจ้ากับมนุษย์ว่า หากรุ้งยังเกิดขึ้น ก็จะไม่มีน้ำท่วมใหญ่มาทำลายโลกเป็นแน่
ส่วน ชาวกรีกโบราณเชื่อว่าเป็นสัญญาณเตือนที่พระเจ้ามาบอกว่าจะเกิดพายุใหญ่ หรือสงคราม
|
|
|
|
|