ความล่มสลายของดุลธรรมชาติ
ความล่มสลายของดุลธรรมชาติและระบบนิเวศน์ได้แสดงแล้วอย่างชัดเจน
ถึงการระบาดของโรคร้ายที่เคยอยู่ตามบริเวณภูมิภาคเขตร้อนหรือที่ราบมาหลายศตวรรษ
กลับเริ่มแผ่กระจายไปยังบริเวณอากาศอบอุ่นและเขตหนาว
หรือที่ราบสูงไหล่เขาสูงขึ้นไปตามลำดับ
การทำลายป่าของมนุษย์ได้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงปรับพันธุ์เชื้อโรคระบาดให้ร้ายแรง
หรือเป็นอนุพันธ์ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
หรือบ้างก็ดื้อต่อยาที่ใช้รักษา
หน้าดินและน้ำจืดใต้ดินก็ขาดแคลนลงไปอย่างเร็ว
จากการแปดเปื้อนสารเคมีปุ๋ยและยาฆ่าแมลงและกากสารพิษอุตสาหกรรมทำให้กระทบต่อที่ทำกิน
และต่อกระบวนการผลิตทางการเกษตร
ผลต่อระบบนิเวศน์ชายฝั่งก็กระทบต่อห่วงโซ่อาหารในทะเล
ทั้งหมดเห็นได้ชัดแล้วว่าเป็นผลพวงของการพัฒนาสังคมและคุณภาพของชีวิตมนุษย์
ในการใช้เทคโนโลยีอย่างขาดสติยั้งคิด
ขาดการควบคุม
ความเลวร้ายเพิ่มทวีคูณด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากจนแทบไม่น่าเชื่อ
โลกที่มีประชากรเพียงสิบกว่าล้านคนในสมัยปลายยุคหินใหม่ที่เป็นช่วงเริ่มต้นของประวัติศาสตร์
ใช้เวลาร่วมห้าพันปีในการเติบโตขึ้นมาเป็นหนึ่งพันล้านคนในปี
ค.ศ. 1800
แต่หลังจากปีนั้นถึง ค.ศ.
2000
อีกเพียงสองสามปีข้างหน้าโลกจะมีประชากรอย่างน้อยก็
6000 ล้านคน
นั่นคือเพิ่มขึ้น 5000
ล้านคนในเวลาเพียงสองศตวรรษ
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงบางส่วนของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเท่านั้น
และเป็นตัวเลขประมาณการในด้านที่ค่อนข้างจะดีด้วย
ในรายละเอียดและตามที่เป็นจริงแล้วความเลวร้ายมันทั้งกว้างขวางและล้ำลึกยิ่งกว่านี้มากนัก
โลกจึงป่วย
และป่วยหนักเกินที่คนทั่วไปที่อยู่ในวงนอกจะคาดคิดได้ถึง
กระทบต่อระบบและองคาพยพอย่างกว้างขวางและล้ำลึก
ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะผ่านเข้าสู่ช่วงอันตรายที่ยากจะแก้ไขกลับคืนมา
โดยไม่มีการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มหาศาลได้อีกต่อไปแล้วแม้ว่าอาจจะมีหนทางที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
หากว่ามนุษย์สามารถกลับตัวกลับใจเสียแต่บัดนี้
สามารถเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์สู่แนวทางจักรวาลทัศน์หรือนิเวศน์ทัศน์เสียแต่บัดนี้
และนั่นเป็นหนทางที่ได้ผลดีที่สุดเพียงหนทางเดียว
จะต้องเข้าใจว่าแม้ด้วยศักยภาพของการปรับตัวเองของโลก
ที่เคยปรับตัวได้ในอดีตที่ผ่านมาจากมวลและปริมาตรอันมหาศาลของโลกในทางกายภาพ
แต่ที่ทุกคนไม่ได้นำมาคิดก็คือ
นั่นเป็นยุคสมัยที่มนุษย์ยังไม่ได้เกิดขึ้นมาและทุกคนไม่ได้คำนึงถึงความสำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมโลกที่จำกัดอยู่เฉพาะที่ผิวเปลือกปริมณฑลแห่งชีวิตหรือไอโอสเฟียร์ที่มีความหนาเพียง
10 ไมล์เท่านั้น
ไม่ใช่นำความสัมพันธ์กับมวลของโลกทั้งหมดมาคิด
และด้วยความจำกัดเช่นนั้น
มันก็จะต้องมีจุดวิกฤตหรือจุดอันตรภัยเมื่อความเสียหายเจ็บป่วยได้เกิดขึ้นกับโลกจนถึงจุดนี้
การแก้ไขให้เป็นปกติเช่นเดิมจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก
เมื่อคำนวณด้วยเงื่อนไขของช่วงเวลาช่วงอายุของมนุษยชาติ
ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวอาจเปรียบเทียบได้กับสภาพการชะงักงัน
และการเปลี่ยนแปลงของโลกระดับไบโอสเฟียร์ในอดีต
แม้ว่าสาเหตุเบื้องต้นของสภาพชะงักงันของโลกที่แล้ว
ๆ
มาจะไม่ได้เกิดขึ้นจากมนุษย์แต่น้ำหนักและเนื้อหาของกระบวนการเปลี่ยนแปลงก็ไม่แตกต่างกันมากนัก
|