โลกป่วย -
วิกฤตการณ์ของอัตวินิจฉัย
พร้อมกับความคิดวิทยาศาสตร์กายภาพ
และการแย่งแยกแปลกต่างของสรรพสิ่งการพัฒนาและเทคโนโลยีที่มีมาเพียง
350
ปีก็คือความเสื่อมสลายของสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ธรรมชาติ
ก็คือความแปลกแยกระหว่างมนุษย์กับสรรพสิ่ง
และมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน
ก่อให้เกิดความขัดแย้งแย่งชิงและสงครามระหว่างกัน
ก่อให้เกิดมลภาวะสารพิษและโรคระบาด
ที่เป็นผลพวงจากการที่ระบบนิเวศน์ถูกเบียดเบียนกดดัน
ก่อให้เกิดความผันผวนของบรรยากาศและภัยธรรมชาติถี่กระชั้นอย่างรุนแรงซ้ำซ้อนในวงกว้าง
ในบริเวณภูมิภาคที่ต่าง ๆ
ทั่วทั้งโลก
ทั้งหมดชี้บ่งอย่างแน่ชัดถึงความสัมพันธ์เป็นเหตุปัจจัยกันและกันระหว่างความก้าวหน้าพัฒนาการกายวัตถุและเทคโนโลยีกับความพินาศล่มสลายของสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่เป็นสิ่งสนอง
และสนับสนุนให้ชีวิตทุกชีวิตและมนุษยชาติให้ดำรงอยู่ได้
หลายคนเริ่มรู้สึกว่าความคิดวิทยาศาสตร์กายภาพและการพัฒนาวัตถุเพียงด้านเดียว
คงจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเสียแล้ว
โลกและมนุษยชาติกำลังประสบกับภัยพิบัติชนิดที่ไม่เคยพบเห็นของประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติหรือแม้แต่จะคาดคิดมาก่อน
และทั้งหมดเป็นผลพวงของวิทยาศาสตร์กายภาพ
และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่มีขอบเขตความพอดีหรือระมัดระวังอย่างแน่นอน
ผลพวงของวิสัยทัศน์ที่เป็นกายทัศน์โลกทัศน์ของมนุษย์เราเองอย่างแน่นอน
แม้ว่ารายละเอียดของแนวโน้มความล่มสลายของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและระบบนิเวศน์
จะเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดแจ้งต่อใครก็ตามที่มีสติปัญญาพอที่จะมองเห็นได้เองอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น
อยู่ที่พื้นฐานของความรู้ความคิดที่เป็นวิสัยทัศน์ที่ทำให้มนุษยชาติตัดสินใจเดินทางตามแนวทางแห่งความล่มสลายนั้นมาตั้งแต่ต้นถึงกว่าสามศตวรรษ
และแม้จนบัดนี้
แม้ในขณะที่สภาพของความพินาศล่มสลายที่ว่ามานั้น
พร้อมที่จะเกิดขึ้นมาและกำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้แล้ว
แต่ความรู้ความเข้าใจของประชาชนส่วนใหญ่ของโลกต่อชีวทัศน์โลกทัศน์
ก็ยังคงเป็นอยู่เช่นเดิม
แนวทางใหม่ที่สังคมมนุษยชาติจะต้องเลือกเดินและรีบด่วนนำมาปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงหรือบรรเทาความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นมานั้น
ก็ยังไม่เกิดขึ้นต่อประชาคมโลกโดยรวม
ความตระหนักสำนึกเช่นนั้นยังห่างไกลยิ่งนัก
ทั้ง ๆ
ที่ความรู้วิทยาศาสตร์แนวใหม่ฟิสิกส์ใหม่
รวมทั้งความคิดจักรวาลทัศนนิเวศน์ทัศน์หรือทัศน์แห่งองค์รวมได้เกิดขึ้นและได้วางรากฐานในด้านวิชาการมาได้หลายทศวรรษแล้ว
แต่ก็ยังขาดเครื่องมือในการกระจายข้อมูลและรูปแบบเนื้อหาที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงต่อโลกทัศน์และความเป็นจริงทางโลก
ที่คงยังฝังแนบแน่นอยู่ในกมลสันดานของมนุษย์
โดยเฉพาะในหมู่ของนักการเมืองชนชั้นนำของสังคมประเทศชาติ
จึงทำให้ยากที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปหรือปฏิวัติให้ได้ทันกับเวลา
ตรงกันข้ามความเลวร้ายของการเบียดเบียนธรรมชาติหลายอย่างหลายประการนอกจากไม่บางเบาแล้ว
กลับทวีเพิ่มยิ่งขึ้น
ดังจะเห็นได้ว่าการทำลายป่าฝนธรรมชาติ
ได้เพิ่มทวีมากขึ้นกว่าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ของอัตราก่อนหน้านั้นเกิดขึ้นหลังกลางทศวรรษที่
1970
ที่แต่บัดนั้นจนทุกวันนี้
โลกยังต้องสูญเสียป่าไม้ฝนไปถึงปีละ
150,000
ตารางกิโลเมตรหรือประมาณเนื้อที่ของประเทศญี่ปุ่น
หรือคิดเป็นเนื้อที่สนามฟุตบอลหนึ่งสนามในแต่ละทุกวินาที
หรือหันไปดูเรื่องสภาพเรือนกระจกที่ตอนนี้แน่นอนแล้วว่าสาเหตุโดยตรงก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์ผลิตขึ้นมา
ซึ่งนับแต่ปี 1992
เป็นต้นมาปริมาณของก๊าซที่มนุษย์ผลิตสู่ชั้นบรรยากาศสูงถึง
7
พันล้านตันต่อปีทำให้ระดับความเข้มข้นของก๊าซสูงร่วมสองเท่าของช่วงเวลาก่อนสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน
ก๊าซที่อุ้มความร้อนทำให้โลกร้อนขึ้นมาแล้วอย่างน้อย
1.5
องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับเวลาเดียวกัน
ดังนั้นโอกาสที่ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นจนท่วมบริเวณที่ลุ่มต่ำของโลก
ที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนตามที่นักวิทยาศาสตร์ขององค์การสหประชาชาติจำนวนกว่า
2,500 คนจาก 60 ประเทศคาดเอาไว้
เพียงแต่จะเร็วหรือช้าที่ไหนและปีใดของศตวรรษที่
21 นี้เท่านั้น
และก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า
เมื่อโลกร้อนขึ้นช่วงเวลาหนึ่งก็จะทำให้กลไกของการรักษาดุลของอุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทร
เป็นต้นว่าสายพานกระแสน้ำอุ่นกัลฟสตรีมในแอตแลนติคและที่อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิคและแอนตาร์คติค
หรือปริมาณของน้ำจืดที่ไหลลงปากแม่น้ำใหญ่เพิ่มขึ้นจากการทำลายป่า
กลไกธรรมชาติก็จะหยุดทำงาน
ทำให้เกิดสมัยน้ำแข็งย่อยเกิดขึ้นมาได้และก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นมาเมื่อไรในเวลาไม่นานข้างหน้านี้อย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน
|