ทฤษฎีความเป็นหนึ่งเดียวและการซ่อนเร้นตนเอง
ทฤษฎีความเป็นหนึ่งเดียวกันและการซ่อนเร้นตัวเอง
(Wholeness and The Implicate Order) ของเดวิด
โบห์มเมื่อประกาศออกมาเป็นครั้งแรกกว่าสิบปีมาแล้วนั้น
ได้รับการตอบรับจากมวลหมู่นักวิทยาศาสตร์อย่างเงียบเชียบและเงียบงัน
ส่วนมากจะไม่เชื่อหรือไม่ยอมรับแต่ด้วยสถานภาพของนักฟิสิกส์ระดับแนวหน้าที่สุดในด้านทฤษฎีความสัมพันธ์ภาพและแควนตัมเมคานิคส์
และความเป็นอิจฉริยะในด้านความคิดที่ทุกคนยอมรับทั้งยังยกย่องให้เดวิดโบห์มอยู่ในฐานะของภาพลักษณ์ของไอน์สไตน์คนที่สอง
(prot'g?) ทำให้ไม่มีผู้ใดสงสัย
อย่างไรก็ตามนักฟิสิกส์ทั่วทั้งโลก
ได้พยายามหาหลักฐาน
หรือข้อพิสูจน์เพื่อที่จะคัดค้านทฤษฎีของโบห์มถึงกับมีการตั้งรางวัลจำนวนมหาศาลให้แก่ผู้ใดที่สามารถพิสูจน์ได้เช่นนั้นแม้เพียงบางส่วน
แต่ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีมานี้
นอกจากไม่มีใครสามารถทำได้แล้ว
การค้นคว้าทั้งหมดล้วนกลายเป็นการสนับสนุนทฤษฎีของโบห์มให้แน่นแฟ้นและแน่นหนาขึ้น
เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ทุกขั้นตอนยิ่งขึ้นโดยไม่มีจุดหนึ่งจุดใดบกพร่องเลยแม้แต่น้อย
ทุกคนยอมรับว่ามันเป็นความจริงแท้ที่สุดเท่าที่ความคิดความรู้และเครื่องมือทางฟิสิกส์จะพึงมีอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามอย่างที่นักฟิสิกส์ที่ชื่อว่าเจ
บ็อบฟ์สรุปเอาไว้ว่า "
แม้ว่าทฤษฎีของโบห์มจะเป็นความจริงอย่างที่สุดโดยไม่มีข้อสงสัยใด
ๆ ทั้งสิ้น
แต่พวกเราก็ไม่เชื่อ"
การศึกษาทฤษฎีของโบห์ม
ที่อธิบายทุกสิ่งทุกสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นเรื่องขององค์รวมความเป็นทั้งหมดเท่า
ๆ
กับความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน
ทั้งนี้รวมทั้งเรื่องของชีวิต
มนุษย์ สังคมและจิตวิญญาณ
ทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องเข้าใจหลักการและเนื้อหาของทฤษฎีโดยทั่วไปเสียก่อน
พื้นฐานของทฤษฎีของเดวิดโบห์มคือ
ความเป็นหนึ่งเดียวกัน
อย่างไม่มีทางแยกออกจากกันและกันได้ของการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง
ที่ล้วนเคลื่อนไหวต่อเนื่องอย่างไม่มีขอบเขตบริเวณหรือตำแหน่งแหล่งที่
เป็นทฤษฎีที่ควบคุมหรืออยู่หลังแควนตัมอีกที
(beyond quantum)
ศูนย์กลางของความเข้าใจต่อหลักการของการเคลื่อนไหวไหลเลื่อนอย่างต่อเนื่องของทั้งหมดที่แยกจากกันไม่ได้นั้น
จะเป็นไปได้อย่างไม่มีเงื่อนไขก็ด้วยหลักการขององค์กรที่ซ่อนเร้นตัวเอง
(Implicate order) เท่านั้น
ด้วยหลักการที่ว่านี้การดำรงอยู่ของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
(totality)
ที่เป็นทั้งหมดล้วนม้วนซ่อนตัว
(enfold)
ในจุดหนึ่งตำแหน่งใดของที่ว่างและเวลา
เพระฉะนั้นไม่ว่าส่วนหนึ่งใดองค์ประกอบหนึ่งใด
หรือรูปแบบหนึ่งใดที่ปรากฏขึ้นมาลอย
ๆ
ในความคิดหรือการรับรู้จะอยู่ในสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งในสามสภาพ
คือสสารพลังงานและจิตหรือที่โบห์มเรียกว่าความหมาย
(meaning)
ดังนั้นส่วนหรือองค์ประกอบที่อยู่ในสภาพหนึ่งใดนั้น
ๆ
ย่อมจะม้วนเอาอีกสองสภาพรวมกันกับทั้งหมดที่มันเป็นส่วน
ดังนั้นความเป็นทั้งหมดจึงม้วนอยู่ในส่วนหรือองค์นั้น
ๆ ไม่มีตำแหน่งที่แน่นอน
ไหลเลื่อนต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นทุกจุดและทุกเวลา
เมื่อส่วนที่ซ่อนเร้นเผยตัวออกมา
(unfold)
ทั้งหมดก็จะเปิดเผยตัวเองออกมาเป็นองค์กรเปิดให้รับรู้ในความคิด
(Explicate Order)
ดังนั้นทฤษฎีของโบห์ม
จึงเป็นทฤษฎีที่อยู่ลึกหรือเหนือกฎแห่งความสัมพันธ์อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทางแควนตัมเมคานิคส์
(beyond quantum)
เป็นทฤษฎีที่เป็นเหตุปัจจัยของทั้งสองกฎนั้นอีกทีหนึ่ง
ดังจะเห็นได้ว่ากฎแห่งความสัมพันธ์ภาพนั้นต้องการความต่อเนื่อง
มีต้นเหตุชัดเจนทั้งยังกำหนดจุดหรือตำแหน่งที่มีความสัมพันธ์กันนั้น
ๆ ในขณะเดียวกันกฎทางแควนตัมนั้นไม่ต้องการความต่อเนื่อง
ไม่มีเหตุและทำนายไม่ได้ทั้งยังไม่มีตำแหน่งแหล่งที่ด้วย
ทั้งสองกฎจึงขัดแย้งกันเว้นแต่ว่าในระดับที่เหนือขึ้นไป
ทั้งสองต่างก็เป็นคุณสมบัติของหลักการการม้วนซ่อนเร้นตัวเองอีกทีหนึ่ง
|