ทฤษฎีการเสริมกันและกัน
เวอร์เน่อร์ไฮเซ็นเบิร์กได้เขียนเล่าว่า
มีอยู่ปีหนึ่งในช่วงต้น ๆ
ของทศวรรษ 1930
เขาได้นั่งเรือกับนิลส์บอห์ร์
ไฮเซ็นเบิร์กเองแม้ว่าในตอนนั้นจะยอมรับว่ากลไกทางแควนตัมเมคานิคส์อาจมีบทบาทในเรื่องของการกำเนิดชีวิตที่ระดับของอะตอม
แต่เขาก็ระมัดระวังที่จะสรุปลงไปว่ามันมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนอย่างไรในการนำมาอธิบายในด้านชีววิทยา
เขาถามนีลส์บอห์ร์ว่ามีความเห็นอย่างไรหากว่า
ในอนาคตเราสามารถพิสูจน์ทฤษฎีการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของฟิสิกส์ทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นเอกภาพ
ที่จะอธิบายปรากฏการณ์ทางชีววิทยาได้หมดสิ้นด้วยนั้น
เกิดขึ้นมาจากการรวมกันของกลศาสตร์แควนตัมที่ซ้อนบนกฎของการจัดองค์ตนเองทางชีววิทยา
หรือว่าทฤษฎีการรวมกันทางวิทยาศาสตร์เป็นหนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่ที่ว่านี้ยังถูกบริหารและควบคุมโดยกฎแห่งธรรมชาติของจักรวาลอีกกฎหนึ่ง
อันเป็นที่สุดที่แควนตัมเมคานิคส์เป็นเพียงกฎย่อย
ๆ กฎหนึ่งเท่านั้น (ทฤษฎีการรวมกันเป็นเอกภาพที่ยิ่งใหญ่ของความรู้วิทยาศาสตร์ทั้งหมดจะเป็นไปได้หลังจากที่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีการรวมตัวของแรงทั้งหมดให้ได้เสียก่อน
ทฤษฎี grand unified theory
นี้ไอน์สไตน์เสนอขึ้นมาและคิดว่า
วันหนึ่งจะเป็นความจริง
ทฤษฎีที่ตอนนี้สตีเฟ็นฮอว์กิงกับเพื่อน
ๆ
ที่เค็มบริดจ์กำลังค้นคว้าอยู่)
นีลส์บอห์ร์ที่อาวุโสกว่าไฮเซ็นเบิร์กได้ตอบว่า
"เขาคิดว่าเป็นการไม่ถูกต้องที่ไปแยกแควนตัมเมคานิคส์
กับกฎหรือระบบการจัดองค์กรตนเองที่เป็นธรรมชาติระดับจักรวาลออกจากกัน
ไม่ว่ามันจะซ้อนกันหรือไม่
นิลส์บอห์ร์ยังคงคิดว่าทฤษฎีการเสริมกันและกันของเขาที่พิสูจน์ได้แล้ว
(Principle of Complimentarity)
เป็นธรรมชาติระดับจักรวาลอยู่แล้วดังนั้นมันย่อมไม่ขัดขวางคัดค้าน
กันและกัน
ตรงกันข้ามมันสนับสนุนส่งเสริมกันที่เป็นคุณสมบัติเนื้อในที่สุดของธรรมชาติไฮเซ็นเบิร์กจึงถามต่อไปถึงกรณีของวิวัฒนาการ"
มันเป็นเรื่องที่เหลือ
จะเชื่อได้ว่าในการวิวัฒนาการของอวัยวะที่ซับซ้อนเช่นลูกตาของคนเรามันสามารถจะค่อย
ๆ
เปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้ด้วยตัวของมันเองจากความบังเอิญซ้ำซ้อน
นีลส์บอห์ร์ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้ว่ารูปร่างของอวัยวะ
หรือรูปกายเป็นเรื่องที่วิวัฒนาการจากความบังเอิญของ
มิวเตชั่นซ้ำแล้วซ้ำอีกได้
แต่เขาก็ไม่ขอวิจารณ์หรือตัดสินใจที่จะให้ความเห็นที่เป็นของเขาเองในตอนนั้น
ไฮเซ็นเบิร์กก็เลยถามต่อไปว่า
นีลส์บอห์ร์คิดอย่างไรกับเรื่องของจิตวิญญาณ
เพราะการเข้าไปมีส่วนของจิตวิญญาณใช่หรือไม่ที่เป็นเหตุโดยตรง
ให้ระบบกระบวนการทางแควนตัมเมคานิคส์เกิดขึ้นมาได้
นีลส์บอห์ร์ได้ตอบประเด็นนี้อย่างชัดเจนว่า
"มันน่าจะเป็นเช่นนั้นตั้งแต่ต้นเลยทีเดียว
จิตวิญญาณจะต้องเป็นส่วนสำคัญของธรรมชาติ
นั่นก็หมายความว่านอกเหนือไปจากกฎทางฟิสิกส์และกฎทางเคมีที่ล้วนมีพื้นฐานเป็นแควนตัมเมคานิคส์แล้ว
เราจะต้องพิจารณาว่ามันต้องมีกฎอื่น
ๆ
ที่แตกต่างไปจากกฎทั้งสองพวกนั้น
ๆ โดยสิ้นเชิงด้วย"
ทั้งหมดนั้นเห็นได้ว่าโดยธรรมชาติแล้ว
แม้ว่าในระดับล่าง ๆ
ของกระบวนการทางชีววิทยาที่กฎทางแควนตัมอาจมีส่วนอยู่ไม่น้อยแต่ก็คงไม่ใช่ว่าแควนตัมเมคานิคส์เพียงอย่างเดียว
จะนำมาอธิบายกระบวนการทางชีววิทยาได้ทั้งหมด
แต่ที่แน่นอนก็คือกลศาสตร์แควนตัมได้เป็นตัวเชื่อม
หรืออธิบายกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยไม่มีตำแหน่งแหล่งที่
(nonlocal)
การสื่อข้อมูลคำสั่งสู่ระดับบน
ๆ จากในระดับล่าง ๆ (Downward
causation)
และต่อกลไกของการจัดองค์กรตนเองในบางตอนที่สำคัญ
และกระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมาก็ไม่ได้คัดค้านกฎต่าง
ๆ ของแควนตัมเมคานิคส์
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามที่แน่ชัดก็คือว่า
องค์กรชีวิตทั้งหลายทั้งหมดไม่ได้เป็นองค์กรที่เป็นไปตามหลักการทางฟิสิกส์กายภาพ
ที่มีกระบวนการทำงานเช่นกลไกของเครื่องยนต์ที่เกิดจากการเรียงตัวเป็นหน่วยต่าง
ๆ
ที่ประกอบด้วยโมเลกุลที่มาร่วมกัน
และมีแรงจากภายนอกมากระทำแต่เพียงอย่างเดียว
ไม่ว่าแรงหรือพลังงานจะเป็นพลังงานสารเคมีหรือไฟฟ้าก็ตามเช่นในกรณีของสมอง
และจิตวิญญาณที่คิดกันว่าถูกบริหารหรือควบคุมโดยพลังงานจากภายนอกง่าย
ๆ
เช่นที่หลายคนยังเชื่อกัน
|