ไบโอเสเพียร์
ทุกวันนี้
ทุกคนคงมีความคุ้นเคยกับคำว่านิเวศน์วิทยาบ้างไม่มากก็น้อย
คนสมัยก่อนนับถอยหลังไปเกินกว่า
20 - 30
ปีไปแล้วอาจจะมีน้อยคนที่จะรู้ลึกซึ้งถึงความหมายของมัน
ในเวลานั้นและก่อนนั้น
การตัดไม้ทำลายป่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนส่วนใหญ่เช่นเดียวกับเด็กส่วนมากทีเดียวที่เดินผ่านต้นไม้ไม่ได้โดยไม่ปลิดเด็ดใบไม้เอามาโยนทิ้งหรือโน้มกิ่งมันลงมาหักเล่น
เรื่องของอากาศอุณหภูมิหรือฤดูกาล
เป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่มีใครไปเอาใจใส่อะไรกับมัน
แต่ทุกวันนี้
มันเปลี่ยนไปมากแม้ว่ามันยังไม่เพียงพออย่างน้อยคนที่เป็นส่วนใหญ่ของโลกห่วงใยกับทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น
เข้าใจห่วงโซ่ความสัมพันธ์กันต่อกันที่ขาดไม่ได้ของสรรพชีวิตทุกชีวิตรวมทั้งมนุษย์ทุกคนที่เป็นส่วนของไบโอเสฟียร์
องค์กรรวมแห่งชีวิตที่แท้จริงของโลก
พลโลกจำนวนหนึ่งมีจิตสำนึกต่อสรรพสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ทั้งหมดบ่งชี้ว่ามนุษย์สามารถมีวิวัฒนาการของจิตวิญญาณสู่ระดับที่สูงขึ้นได้หากให้โอกาสให้คิด
หรือว่ามีเหตุผลหรือได้รับบทเรียนจากสิ่งที่สนองตอบให้คิด
แนวโน้มมันทำท่าจะดีขึ้นเรื่อย
ๆ
และหวังว่ามันคงจะทันกับเวลาก่อนถึงจุดวิกฤต
จุดหรือขอบเขตที่กำหนดความล่มสลายของระบบนิเวศน์โลก
จุดที่เราไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนและจะถึงมาเมื่อไร
อย่างน้อยเดี๋ยวนี้เราเชื่อแล้วว่าความล่มสลายหายนะของธรรมชาติสิ่งแวดล้อมย่อมกระทบอย่างรุนแรงหรือเป็นเหตุปัจจัยต่อการอยู่รอดของมนุษยชาติของเราเลยทีเดียว
นิเวศน์วิทยาจึงกลายเป็นวินัยวิชาการที่สำคัญขึ้นมา
เป็นทั้งวิทยาศาสตร์แห่งชีวิตและระบบแห่งชีวิตของชีวิตทั้งหมดที่อยู่บนผิวเปลือกโลก
เป็นไบโอเสฟียร์หรือโลกแห่งชีวิตที่รวมตัวเรารวมเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติเข้าด้วยกันอย่างที่จะแยกออกจากกันไม่ได้ไบโอเสฟียร์ที่เป็นทั้งองค์กรชีวิตเองและเป็นทั้งเยื่อใยที่ผูกพันร้อยรวงชีวิตทั้งหมดธรรมชาติทั้งหมดของโลกเข้าไว้ด้วยกัน
ใครก็ตามที่เคยได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมชาติหรือยิ่งกว่านั้นที่โชคดีอาศัยใกล้ชิดกับธรรมชาติและได้เคยสังเกตความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันและกันของสรรพชีวิตตามที่มันเป็นอยู่จริง
อาจจะสังเกตเห็นความเป็นธรรมดาของธรรมชาติได้สองประการ
ประการแรกจะสังเกตเห็นถึงความไม่เป็นระเบียบ
ความไม่มีกฎไม่มีเกณฑ์ของมัน
หนอนทากที่เดินเหมือนกับว่าไม่เห็นอะไรและไปไหนของมันก็ไม่รู้
ในขณะที่แมลงปีกแข็งตัวเล็ก
ๆ
ที่เกาะอยู่บนใบไม้บางทีก็ดูเหมือนว่ามันจะหลับตลอดเวลา
หรือไม่ก็อยู่นิ่งไม่เปลี่ยนที่ไปไหน
นกสองสามชนิดมันก็บินมาแล้วก็บินไปไม่มีอะไรจะกำหนดมันว่าจะไปหรือมาเมื่อไร
ทั้งหมดเหมือนกับว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญเป็นอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ
แต่หากว่าเราสังเกตนาน ๆ
และให้ละเอียดมากขึ้นเราจะต้องตกใจที่จะพบว่าภายใต้ความไม่เป็นระเบียบความบังเอิญทั้งหมดนั้น
แท้ที่จริงแล้วมันมีความเป็นระเบียบหรือมีระบบที่แน่นอนอยู่มาก
แท้ที่จริงแล้วสรรพชีวิตทั้งหลายทั้งมวลล้วนพึ่งพาอาศัยกัน
แม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิต
กิ่งไม้แห้ง ๆ
ขอนไม้ที่เน่าผุพังชุ่มน้ำอยู่บนพื้นดินข้างล่างที่แสงแดดส่องมาไม่ถึงทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกันและกันอย่างเป็นระบบหรือแม้แต่อาจมีความหมายบางอย่างที่เราไม่รู้
ชนิดและจำนวนของนกมักจะเป็นเช่นเดิม
ยกเว้นแต่อาจมีนกตัวอื่นที่ไม่ค่อยได้เห็นมันจะบินผ่านมาบ้างเป็นครั้งคราว
แต่ตัวที่อยู่ประจำคือตัวเดิมจำนวนเดิม
และมันก็มีสัดส่วนกับชนิดและจำนวนของหนอนหรือแมลงที่บินหรือเดินคลานอยู่ในบริเวณนั้น
โดยที่เราก็ไม่รู้ว่ามันมากันจากไหนแต่มันจะต้องมีเป็นประจำให้สังเกตได้ทุกวัน
ซากแมลงเศษไม้ที่เน่าผุกับหญ้าที่โผล่งอกขึ้นมาใหม่
ๆ
ที่ดูว่าไม่มีระเบียบแบบแผน
เมื่อสังเกตนาน ๆ จริง ๆ
มันมีระบบมีแบบแผนทั้งสิ้น
ทั้งหมดยังสัมพันธ์กับเวลาของวันหรือฤดูกาลของปีด้วย
รวมกันทั้งหมดนั้นว่าไปแล้วมันเหมือนกับองค์กรที่มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการซ้ำซ้อนเป็นวงจรแต่ละวงและทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง
วงจรการเคลื่อนไหวที่ไปด้วยกัน
เกี่ยวเนื่องกันอย่างเป็นระบบนั้น
ไม่ได้จำกัดที่การหาอาหาร
หรือสัตว์ตัวใหญ่กินสัตว์ตัวน้อย
ๆ
เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่มันมีอื่น
ๆ
ที่อาจจะสำคัญกว่าก็คือความสัมพันธ์โยงใยระหว่างกันและทั้งหมด
ทั้งหมดที่รวมทุกอย่างรวมทั้งมนุษย์เราด้วย
หรืออาจเรียกว่าระบบความเป็นระเบียบของทั้งหมด
(holistic orientation)
ดังที่นักชีววิทยาผู้หนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า
ในป่าหลังบ้านและเช่นเดียวกับป่าชายเลน
หรือโลกทั้งหมด
มันไม่ได้เป็นอย่างที่นักชีววิทยาได้บอกกับเราว่ารวมกันอยู่เหมือนกับรูปปิรามิดโดยมีมนุษย์อยู่ที่ยอดแหลมข้างบน
มันไม่ใช่เรื่องของห่วงโซ่อาหารที่ต่อกันลดหลั่นกันลงมา
เช่นนั้นแต่อย่างเดียว
แต่มันสัมพันธ์ลึกซึ้งกว่านั้นอย่างมากนัก
มนุษย์และแต่ละสรรพสิ่งล้วนม้วนพันกันในใยเยื่อแห่งชีวิต
เป็นส่วนของใยเยื่อที่ลึกล้ำของทั้งหมดที่เรียกว่าไบโอเสฟียร์
ไบโอเสฟียร์คือชีวิต
เอริค จ้านช์ (Erich Jantsch)
ได้กล่าวถึงไบโอเสฟียร์และวิวัฒนาการร่วมกันของทั้งหมดว่าวิวัฒนาการของสรรพสิ่งเป็นไปตามกฎแห่งความเป็นธรรมดาอย่างซ้ำซ้อนและลดหลั่นกันของระบบการจัดองค์กรตนเอง
ห่วงโซ่แห่งวิวัฒนาการของชีวิตที่อยู่ในระนาบต่าง
ๆ ที่อยู่ต่ำลงไปทั้งหมด
มันจึงเป็นเรื่องของระบบที่ซ้อนอยู่ในระบบ
ซ้ำซ้อนต่อไปเรื่อย ๆ
เช่นนั้น
แต่ทว่าไม่ใช่เป็นระบบแห่งการควบคุมกันและกันที่ระนาบที่อยู่ข้างล่างยิ่งกว่าส่งข้อมูลไปให้ระนาบที่อยู่สูงกว่าในขณะที่ข้างบนสั่งเป็นคำสั่งลงมาให้ข้างล่างปฏิบัติ
แต่ว่าแต่ละระนาบจะมีความเป็นอิสระของมันเองพอสมควรโดยมีการเชื่อมโยงกันในระหว่างระบบที่อยู่ในระนาบเดียวกัน
ชีวิตทั้งหมดเป็นไปเช่นนั้น
และทั้งหมดที่เป็นไบโอเสฟียร์ก็คือองค์รวมชีวิต
กับคำถามที่ถามว่า
ถ้าหากว่าห่วงโซ่ความสัมพันธ์ระหว่างระนาบต่อระนาบระบบต่อระบบถูกทำลายลงไป
เกิดเป็นช่องว่างขึ้นมาในส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งส่วนใดของไบโอเสฟียร์
สรรพชีวิตทั้งหลายทั้งปวงจะดำรงคงอยู่ได้ต่อไปหรือไม่
มนุษย์เราจะอยู่ได้ต่อไปหรือไม่
โลกจะอยู่ได้หรือไม่
คำตอบอย่างแน่นอนคงให้ไม่ได้
คงตอบไม่ได้
ที่แน่นอนก็คือจะต้องมีการกระทบที่สะท้อนถึงกันไปทั่ว
เพราะความสัมพันธ์ระหว่างสรรพชีวิตในไบโอเสฟียร์มันไม่ได้เป็นเรื่องของการกินหรือลำดับการบริหารด้านอาหารง่าย
ๆ เท่านั้น
ไม่ได้เป็นเรื่องของปลาตัวใหญ่กินปลาตัวเล็กไล่ลงมาเป็นลำดับเท่านั้น
หากเป็นเรื่องของความต่อเนื่องเชื่อมโยงของเนื้อใน
และสาระของใยเยื่อที่ร้อยผูกพันระหว่างระบบแต่ละระบบ
ในแต่ละระนาบทั่วถึงกันทั้งหมดทั้งองค์กรและการวิวัฒนาการองค์รวม
(holistic orientation and evolution)
มนุษย์และวิวัฒนาการของมนุษย์จะต้องได้รับผลสะท้อนอย่างรุนแรง
จนเป็นไปได้ว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะอยู่ต่อไปได้
และถึงตอนนั้นโลกเราจะอยู่ได้หรือไม่ได้ก็เป็นเรื่องไม่จำเป็นที่จะต้องรู้
ประเด็นก็คือว่า
มันสมควรแล้วหรือที่เราจะทำให้เกิดสภาพการณ์เช่นนั้นขึ้นมา
เราจะลองเพื่อเสี่ยงไปทำไม
ในเมื่อเรารู้ว่าเราอาจมีโอกาสได้ลองเพียงครั้งเดียว
และเราก็มีเพียงโลกของเราใบเดียว
|