องค์กรชีวิต
หากว่าทฤษฎีของสจ๊วต
ค๊อฟแมนเป็นความจริงอย่างสมบูรณ์ซึ่งก็คงเป็นเช่นนั้น
(ดูบทที่สาม)
ทฤษฎีที่บ่งชี้กำเนิด
เป็นชีวิตในระยะแรกที่สุดที่สรุปว่า
ชีวิตคือองค์กรธรรมชาติอย่างหนึ่ง
องค์กรของระบบการจัดองค์กรตัวเอง
เป็นไปเองตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อมีโมเลกุลทางอินทรีย์เคมี
ที่ไม่จำเป็นต้องสลับซับซ้อนมาอยู่ร่วมกันชุมนุมกันในที่แออัด
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่วิกฤตโมเลกุลเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนตัวเองเป็นชุดตัวเร่งทางเคมีขึ้นมา
(autocatalytic sets of molecules)
สามารถแบ่งตัวเองซ้ำซ้อนได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยอาร์เอ็นเอที่สลับซับซ้อน
ทั้งก็ไม่ใช่เป็นชุดที่กำหนดพันธุกรรม
อาร์เอ็นเอและดีเอ็นเอ
ที่ประกอบด้วยกรดนิวเคลอิคเป็นเรื่องของการจัดองค์กรที่ตามมาทีหลังนานนักหนา
ที่ก็วิวัฒนาการมาแบบเดียวกันตามระนาบและระดับสูง
และซับซ้อนขึ้นไปตามลำดับโดยที่ทุกระนาบและระดับต่าง
ๆ
เหล่านั้นเป็นส่วนของกันและกัน
(holistic or wholistic orientation)
ซึ่งถ้าทั้งหมดได้รับการยอมรับกันเป็นเอกฉันท์
ดังนั้นทฤษฎีของชาร์ลส์ดาร์วินความบังเอิญต่าง
ๆ
รวมทั้งเรื่องของอาร์เอ็นเอดีเอ็นเอจิโนมส์ที่อธิบายการกำเนิดชีวิต
ทั้งหมดนั้นหากว่ายังจะคงเอาไว้ก็จะต้องนำมาเปลี่ยนแปลงใหม่
ที่สำคัญที่ไม่ได้มีการพูดถึงกันก็คือหากว่าเป็นไปตามทฤษฎีนี้ทั้งหมด
ชีวิตก็ต้องมีการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงให้เกิดใหม่ได้ตลอดเวลาแม้ในเวลาปัจจุบันนี้
หรือเมื่อใดก็ตามที่มีการชุมนุมกันอย่างหนาแน่นของโมเลกุลสารเคมี
ในบริเวณสถานที่อันจำกัดเพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่า
การวิวัฒนาการเป็นชีวิตอย่างที่เรารู้จักกันและจัดอันดับเป็นชั้นเป็นตระกูลเผ่าพันธุ์นั้น
จึงต้องใช้เวลานานกี่หมื่นกี่แสนหรือนานเป็นร้อยเป็นพันล้านปี
ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็นานเกินประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทั้งนั้นที่น่าคิดก็คือหากว่าค็อฟแมนถูกต้องความหลากหลายของชีวภาพ
โดยเฉพาะในระดับที่ละเอียดนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าส่วนหนึ่งนั้นมันเกิดขึ้นเองเป็นเอกเทศ
ไม่จำเป็นที่ทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในโลกไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบันและอนาคตจะต้องมาจากแหล่งเดียวกันทั้งหมด
และมีวิวัฒนาการขึ้นมาจากหนึ่งชีวิตไล่ขึ้นมาตามชั้นลำดับจนสูงขึ้นเป็นมนุษย์
ตามกฎแห่งการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
ที่เป็นทฤษฎีของชาร์ลส์ดาร์วินแต่เพียงทฤษฎีเดียว
ที่จริงว่าไปแล้วทฤษฎีการจัดองค์กรตัวเองจนเป็นชีวิตดังกล่าวทั้งหมดจะอ้างว่า
เป็นทฤษฎีใหม่ของค๊อฟแมนคนเดียวก็คงไม่ถูกต้องนัก
จริงอยู่ที่ค๊อฟแมนพยายามพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีกถึงหลักการการจัดองค์กรตัวเองกับการกำเนิดองค์กรชีวิตตามธรรมชาติ
แต่ทั้งหมดนั้นมันได้มาจากการศึกษาวิจัย
ต่างกรรมต่างวาระของนักวิทยาศาสตร์หลายคน
ซึ่งแทบทั้งหมดไม่ใช่นักชีววิทยาเสียด้วยซ้ำ
เป็นต้นว่าพริโกจินก็เป็นนักเคมี
ชาร์ลส์เบ็นเน็ดกับเดวิดโบห์มเป็นนักฟิสิกส์ถ้าไล่ต่อไปอีกก็อาจต้องรวมชโรดิงเกอร์
โบลท์ซ์แมน
พอลเดวีส์และอีกหลายต่อหลายคน
แต่ทั้งหมดน่าจะต้องยกให้พริโกจินกับทฤษฎีของเขา
(dissiapative theory)
ที่สรุปว่าระบบการจัดองค์กรตัวเองเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง
ที่มาอยู่รวมกันในสภาพไกลจากความพอดี
(far from equilibrium)
และก็ต้องยกให้โบห์มที่อธิบายในด้านของแควนตัมเมคานิคส์
การแลกเปลี่ยนพลังงานแควนตาระหว่างโมเลกุลต่าง
ๆ
กับสิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วสู่ระนาบและระดับที่เหนือขึ้นไปเรื่อย
ๆ
แม้ว่านิยามของชีวิตในรูปขององค์กรที่เคลื่อนไหวด้วยและเพื่อข้อมูลดังที่กล่าวมาแล้วในบทก่อน
ๆ
จะเป็นที่ยอมรับในทางวิชาการมากกว่าเพราะครอบคลุมหลักการของความเป็นองค์รวม
(holistic)
ที่เป็นกระบวนการธรรมชาติได้สมบูรณ์มากกว่าคำว่าชีวิต
ที่คนทั่วไปเข้าใจกันชีวิตที่เป็นปัจเจกลักษณ์
(individualistic)
ในระดับหนึ่งที่จะพูดถึงในบทนี้
จะพูดถึงองค์กรชีวิตที่เป็นไบโอเสฟียร์ทั้งหมดพร้อม
ๆ กันไป
กับความหลากหลายของปัจเจกชีวิตและความสัมพันธ์ระหว่างกันในระดับต่าง
ๆ
ที่เป็นเรื่องระบบนิเวศน์
ความสัมพันธ์ที่โยงใยถึงระบบของสังคมเศรษฐกิจและการเมืองของโลก
ทั้งหมดไม่ว่าอย่างไรล้วนเป็นส่วนของไบโอเสฟียร์ด้วยกัน
ขององค์กรชีวิตของโลกด้วยกัน
พอลเดวีส์สรุปไว้ในหนังสือของเขาว่า
เป็นที่แน่นอนว่าชีวิตน่าจะเป็นผลของระบบการจัดองค์กรตนเองของโมเลกุลของสารอนิทรีย์อย่างที่ค๊อฟแมนว่าไว้ว่า
แต่ละโมเลกุลไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไรมาก
และเมื่อเป็นชีวิตแล้วก็อาจอาศัยทฤษฎีวิวัฒนาการและดีเอ็นเอต่อไปได้
แต่ดีเอ็นเอคงไม่ได้เป็นตัวกำหนดชีวิตตั้งแต่เริ่มต้นอย่างแน่นอน
ตอนนี้ที่คิดกันไม่ออกหากันไม่ได้อยู่ที่ว่าแล้วก่อนการเกิดของโมเลกุลสารอินทรีย์เคมีมันเป็นอะไร
หรือมาจากสารอนินทรีย์ที่เป็นแร่ธาตุทั้งหลายทั้งปวงเปลี่ยนมาเป็นสารอินทรีย์
เดวีส์ยังกล่าวไว้ด้วยว่า
เราสามารถที่จะคำนวณโอกาสของการจัดองค์กรตัวเอง
หรือการที่โมเลกุลที่มาร่วมชุมนุมในที่เดียวกันในน้ำซุปแหล่งเดียวกันอย่างหนาแน่น
ที่จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันและกัน
หรือแลกเปลี่ยนพลังงานแควนตาระหว่างกันทำให้มีการแยกตัวออกจากกัน
และรวมตัวเขาหากันซ้ำซ้อนยิ่ง
ๆ ขึ้นนั้น
โอกาสที่ว่านั้นเดวีส์คำนวณว่ากว่าจะได้เป็นชีวิตง่าย
ๆ
เป็นไวรัสได้สักตัวก็จะต้องใช้เวลามากหนึ่งพันล้านปี
แต่ชีวิตแรกที่เกิดเป็นเซลล์ตัวแรกที่เรารู้ในเวลานี้คือประมาณ
3.5 - 3.6 พันล้านปีมาแล้ว
หลังเกิดมีน้ำขึ้นมาประมาณ
600 - 700 ล้านปี
หรือหลังมีโลกแล้วหนึ่งพันล้านปี
ว่าไปแล้วทฤษฎีอสุจิสากลชีวิตมาจากนอกโลกเป็นสิ่งที่โยนทิ้งไปไม่ได้จริง
ๆ
|