ทฤษฎีการจัดองค์กรตนเองกำเนิดชีวิต
ธรรมชาติแห่งองค์รวม
ระดับโลกระดับจักรวาล
ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1985
เป็นต้นมาได้มีทฤษฎีที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการปรับจากความคิดของพริโกจิน
และเดวิดโบห์มที่กล่าวมาข้างต้นบนพื้นฐานทางฟิสิกส์ชีววิทยาขึ้นมาใหม่
ซึ่งปัจจุบันบางส่วนก็ได้เริ่มวางฐานรากอย่างแน่นหนาให้แก่วิชาการในสาขาชีววิทยานั่นคือทฤษฎีการจัดการตัวเอง
หรือความเป็นไปเองที่เกิดขึ้นมาเองตามธรรมดาขององค์รวม
(holism or wholism)
มันต้องเป็นไปเช่นนั้นอย่างเลือกเป็นอย่างอื่นไม่ได้
การจัดการตนเองไม่ใช่เป็นเรื่องของความบังเอิญ
ในขณะเดียวกันมันก็ไม่มีเหตุปัจจัยของสามัญสำนึก
ไม่เป็นไปตามกฎทางวิทยาศาสตร์กายวัตถุหากแต่ว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปเช่นนั้นเท่านั้น
เช่นเดียวกับที่พบในทฤษฎีแห่งความจลาจลไร้ระเบียบหรือเคออส
(Chaos Theory)
หรือเช่นเดียวที่เม็ดพันธุ์พืชที่จะต้องแตกรากแตกกิ่งก้านแตกช่อและใบตามกำหนดเวลาของมันเป็นเรื่องขององค์กรรวมที่กำหนดให้เป็นเช่นนั้น
องค์กรรวมที่ทุกส่วนเป็นทั้งหมด
ทั้งหมดที่เคลื่อนไหว (dynamic
system theory)
ที่การเคลื่อนไหวเป็นไปตามธรรมชาติภายในของทั้งหมดขององค์รวม
แต่ละส่วนไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้นซึ่งในอีกด้านหนึ่งก็อาจจะกล่าวได้ว่า
เป็นไปตามกฎแห่งกรรมมีกรรมเป็นตัวกำหนด
ทฤษฎีการกำเนิดของชีวิตทฤษฎีใหม่ชี้บ่งว่า
ชีวิตทุกชีวิตเป็นผลผลิตขององค์รวมผลักดันด้วยพลังงาน
ที่เป็นศักยภาพที่ก่อเกิดมาจากภายในองค์รวม
เป็นผลผลิตของการชุมนุมกันของส่วนต่าง
ๆ
ที่ประกอบเป็นองค์รวมที่เดวิด
โบห์มอธิบายว่า
มีการแลกเปลี่ยนพลังงานในรูปของความแควนตาอย่างรวดเร็ว
และต่อเนื่องระหว่างกันซึ่งตามกฎของแควนตัมเมคานิคส์
จะก่อให้เกิดองค์กรของความเป็นระเบียบอย่างซ้ำซ้อนขึ้นมาใหม่เรียบ
ๆ องค์กรที่มีศักยภาพใหม่ระเบียบใหม่เป็นองค์รวมของทั้งหมดไม่ใช่ของส่วนหนึ่งใดหรือโมเลกุลหนึ่งใด
ดังนั้นในรูปหนึ่งหากจะมองจากด้านของกฎแห่งกรรมหรือกฎแห่งความเป็นธรรมดาของศาสนาพุทธที่อธิบายกลไกและกระบวนการอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้ว
ก็จะเห็นได้ชัดว่ากระบวนการจัดการตนเองที่เคลื่อนที่ทั้งระบบ
(dynamic system theory)
สอดคล้องกับกระบวนการของกรรมและวิบากอย่างเลือกไม่ได้จริง
ๆ ฟิสิกส์ชีววิทยาในปัจจุบันส่วนมากจึงยอมรับกันว่า
ชีวิตเป็นผลรวมที่พอดีของความหลากหลายของตระกูลและเผ่าพันธ์ของโมเลกุลทางชีวเคมี
ที่เข้ามารวมกันอยู่อย่างหนาแน่นที่แต่ละโมเลกุลแลกเปลี่ยนพลังงานกับโมเลกุลอื่น
ๆ
ที่แวดล้อมกันและกันในสภาพของระบบเปิด
และสภาพที่ไม่มีความพอดีทั้งในลักษณะของโมเลกุลและเวลาที่ไม่เป็นเส้นตรงไปทางเดียวกัน
(nonlinear and time asymmetry)
ทำให้ทั้งระบบอยู่ในสภาพไกลจากดุลย์
(far - from equilibrium) ตลอดเวลา
ก่อให้เกิดระบบใหม่ขึ้นมาตลอดเวลาระบบใหม่ในที่นี้ก็คือปรากฏการณ์วัฏภาวะการเริ่มต้นขององค์กรแห่งชีวิต
(emergent phenomena)
ชีวิตจึงเริ่มต้นจากองค์รวมและบัญญัติโดยองค์รวมเป็นธรรมชาติ
ชีวิตที่ไม่ได้ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน
องค์รวมจึงไม่ใช่ผลรวมของส่วนประกอบและคุณสมบัติแห่งชีวิต
(emergent properties) ขององค์รวม
ก็ไม่ใช่คุณสมบัติของแต่ละส่วนแต่ละโมเลกุลที่มารวมกันนั้น
ๆ
แต่เป็นคุณสมบัติใหม่ขององค์รวมเอง
(พลังงานการจึงเป็นผลของแควนตาที่รวมจากส่วนย่อยเหล่านั้นเข้าด้วยกัน)
ทั้งหมดนี้มีหลักฐานมากมายที่ล้วนให้ข้อสรุปที่น่าเชื่อถือว่าเป็นไปได้จริงดังนั้นชีวิตจึงไม่ได้เกิดขึ้นและเจริญพันธุ์ในระยะเริ่มต้นด้วยการบริหารของอาร์เอ็นเอ
หรือบทบาทของการแบ่งตัวซับซ้อน
(template replication) ที่อาร์เอ็นเอ
ต่อมาจากนั้นจะค่อย ๆ
พัฒนาเป็นดีเอ็นเอเป็นยีนส์โครโมโซมที่เคยเชื่อกันว่ามีอิทธิพลต่อการกำเนิดของสรรพชีวิต
อย่างที่เราเรียนรู้เรารู้กันและเชื่อกันว่าเป็นความจริงทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นมาภายหลังที่องค์กรชีวิตได้เริ่มขึ้นมาแล้ว
(emergent)
ขึ้นมาจากระบบการจัดการตนเอง
ขององค์รวมของโมเลกุลมากหลายเข้าด้วยกันแล้วเท่านั้น
เพื่อชี้บ่งกำหนดลักษณะทางพันธุกรรมเผ่าพันธุ์
ที่สัมผัสกับสิ่งแวดล้อม
ตามทฤษฎีของชาร์ลส์ดาร์วิน
|