การจัดการองค์กรตนเอง
กฎธรรมชาติ
กำเนิดชีวิต
ถ้าหากว่ามีใคร
นักวิทยาศาสตร์หรือไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเขารู้ว่าชีวิตเริ่มแรกจริง
ๆ เริ่มต้นมาอย่างไร
อย่าไปเชื่อเป็นอันขาด
ที่จริงจะต้องระวังคนคนนั้นด้วยซ้ำ
ที่ต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดในสามประเภท
คือถ้าไม่ใช่คนบ้าก็ต้องปัญญาอ่อนมาก
ๆ
หรือไม่ก็คนขี้โกงนักต้มตุ๋น
เพราะว่าจนบัดนี้
ยุคสมัยที่เชื่อกันว่าวิทยาศาสตร์ได้พลิกก้อนหินทุก
ๆ ก้อนหมดแล้ว
ไม่มีอะไรอีกเป็นความลับหรือที่มนุษย์ไม่รู้
แต่ก็ต้องยอมรับกันเรื่องกำเนิดของชีวิตนี่ไม่รู้จริง
ตำนานของจีนที่เล่ากันบากว่าซาเกี่ยมมอนีฮุดโจ้ว
ทับศัพท์เดิมก็คงเป็นศากยมุนีพุทธเจ้า
ได้บอกกับเทพยดาองค์หนึ่งว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปิดฟ้าเปิดดิน
ไอฟ้ากับไอดินจึงปะทะกันและแล้วชีวิตก็เกิดขึ้นมาจากมวลของหมอกไอที่ผสมกันนั้น
ตำนานโบราณของไทย (อาจจะเป็นวัฏกัปป์หลัง
ๆ
ของจักรวาลแห่งความว่างเปล่าในวัฏกัปป์แรก)
เรื่องผีฟ้าแสงหรือขุนสรวงอาภัสสรเทพที่ได้กลิ่นไอดินจึงลงมากินง้วนดิน
หลงกินเข้าไปมากเลยหมดอิทธิฤทธิ์ที่เป็นรังสีแสง
กลายเป็นคนกลับขึ้นไปไม่ได้อีก
ต้องรอจนมีนางสางหลงลงมาอีกคนหนึ่ง
กอสเปลที่สี่ของจอห์นบอกว่าทีแรกก็มีเสียงเป็นคำพูดเสียงพูดของพระเจ้า
เสียงพูดคือพระเจ้า
และแล้วความมืดก็หายไปในวันแรกวันต่อมามีน้ำมีดิน
มีพืชและสัตว์ทั้งหลายวันที่หกจึงมีอะดัม
"ภาพลักษณ์ของพระเจ้า"
ศาสนายิวมีอะดัมกัตโมนคือมนุษย์ผู้สมบูรณ์
วิญญาณแห่งพระเจ้า
อะริสโตเติลบอกว่าสรรพสิ่งสร้างขึ้นด้วยธาตุทั้งสี่
และกลไกประกอบการกำเนิดสรรพสิ่งมีสี่เหตุปัจจัย
คือวัสดุ
ประสิทธิภาพรูปแบบและสุดท้าย
(material efficient formal final)
เหตุปัจจัยข้อสุดท้ายของสรรพสิ่งที่มีชีวิตก็คือชีวิต
พิจารณาจากเหตุผลและหลักการของความจริงทางโลก
อะริสโตเติลก็จำเป็นต้องวางรากฐานความคิดของกระบวนการธรรมชาติเช่นนั้น
แน่นอนว่านั่นเป็นกระบวนการในด้านของรูปธรรมกายสภาพ
บนเป้าหมายของการกำเนิด
ถ้าจะสร้างบ้านก็เมื่อต้องการบ้านสำหรับอาศัย
ก็ต้องมีวัสดุพร้อม
มีความสามารถประสิทธิภาพที่จะนำวัสดุมาประกอบกัน
จะต้องมีรูปแบบหรือรูปฟอร์มของบ้านว่า
เป็นอย่างไรจะอยู่ตำแหน่งไหนคือต้องมีพิมพ์เขียว
สุดท้ายคือได้บ้านตามเป้าหมายของผู้สร้างทุกประการ
เรื่องของชีวิตก็เป็นเช่นเดียวกับที่อะริสโตเติลคิด
ว่าเหตุปัจจัยสุดท้ายคือชีวิตแรกที่อุบัติขึ้นมาบนโลก
บ้านที่สร้างสำเร็จรูปแล้วนั่นคือเซลล์แรกแห่งชีวิต
ซึ่งก็คงเป็นพวกเดียวกับตัวอะมีบางที่แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่
ทั้งบางชนิดบางพันธุ์ยังเป็นเชื้อโรคร้ายที่เป็นสาเหตุของโรคบิดลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดติดเชื้อ
ซึ่งก็ยังมีคนไม่น้อยในบ้านเราเป็นกันทุก
ๆ ปี
แถมยังมีตายกันปีละหลายคนด้วย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในทางชีววิทยาแล้วส่วนหนึ่งที่เป็นชีวิตมนุษย์เป็นเราท่านทุก
ๆ
คนจึงล้วนประกอบอยู่ในอะมีบาตัวแรกตัวนั้น
พันธุกรรมแรกที่อะมีบามันมี
มันได้ถ่ายทอดผ่องถ่ายต่อมาเรื่อย
ๆ
เป็นพันธุกรรมของมนุษย์จนทุกวันนี้
แต่ว่าสิ่งมีชีวิตที่คล้ายอะมีบาหรือสัตว์เซลล์เดียวตัวแรกที่เกิดขึ้น
3.5 พันล้านปีมาแล้วนั้น
เราไม่รู้ว่ามันวิวัฒนาการมาจากโมเลกุลของสารเคมีที่ไม่มีชีวิตอย่างไร
จากแร่ธาตุธรรมดาง่าย ๆ
เช่นคาร์บอนไฮโดรเจนไนโตรเจนและน้ำอย่างไร
ในสมัยยุคมือทางปัญญาก็ดีไปอย่างที่คนเขารับกันง่าย
ๆ
ไม่ต้องยุ่งยากไปสร้างทฤษฎีอะไรกันให้ปวดหัว
ถ้าไม่ใช่เชื่อว่ามีผู้สร้างสร้างขึ้น
ก็พอใจที่คิดว่ามันเกิดมาเอง
เหมือนไข่หนอนและแมลงที่เกิดได้เองในผลไม้ที่เน่าแล้ว
หรือตามใต้ก้อนหินขอบบึงที่อยู่
ๆ ก็มีชีวิตขึ้นมา
แต่คนที่ขี้สงสัยเป็นกรรมพันธุ์สันดานไม่หยุดง่าย
ๆ เชื่อเช่นนั้น
และจากวันนั้นจนวันนี้มีทฤษฎีซ้อนทฤษฎีของการกำเนิดของชีวิตมากมาย
นับตั้งแต่ยุคสมัยความก้าวหน้า
ที่วิทยาศาสตร์กายภาพและหลักการแบ่งแยกแปลกคือความจริง
ทฤษฎีว่าด้วยกำเนิดชีวิตก็มีขึ้นมากมาย
บ้างก็มีหลักฐานที่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง
แต่ก็ไม่มีทฤษฎีใดที่สามารถพิสูจน์ได้
หรือแม้แต่จะทำให้นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นทั้งหมด
โดยไม่มีเครื่องหมายคำถามตัวโตมาก
ๆ อยู่ในใจ
จนทุกวันนี้ที่เขายังเก็บไว้ในตำรา
ก็เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะมันยังไม่มีทฤษฎีใดที่มีข้อพิสูจน์อย่างเด็ดขาด
หรือที่ดีกว่าบอกว่าชีวิตเป็นชีวิตได้อย่างไร
ประการหนึ่ง
ในช่วงเวลาหนึ่งนักวิทยาศาสตร์บางคนเข้าใจว่าบางทฤษฎีอาจจะถูกต้องเป็นจริง
ยกตัวอย่างทฤษฎีที่เชื่อกันมากอยู่พักหนึ่งก็คือทฤษฎีแห่งความบังเอิญมหาบังเอิญของแสตนลีย์มิลเลอร์กับฮาโรลด์
ยูเรย์ (Stanley Miller and Haro'd Urey)
ที่ฮือฮากันในปี 1952
ตอนที่ผู้เขียนกำลังเป็นนักเรียนแพทย์
ใคร ๆ ต่างก็พากันคิดว่า
ในที่สุดวิทยาศาสตร์ก็สามารถรู้ชาติกำเนิดของชีวิตแล้ว
นักวิทยาศาสตร์เองก็มั่วกับความบังเอิญกันอย่างไม่น่าเชื่อไปกับเขาด้วย
ทั้ง ๆ
ที่ทฤษฎีที่เชื่อกันนั้น
ไม่มีอะไรจริง ๆ
นอกจากมีแต่ความบังเอิญแทบจะทั้งหมด
บังเอิญที่สป๊าร์คจากฟ้า
ฟ้าผ่ามันเกิดซ้ำซ้อนเป็นล้าน
ๆ ครั้งทำให้มีเธน
แอมโมเนียและไฮโดรเจนที่ทำไมจึงยังมีอยู่ในบรรยากาศโลก
ทั้ง ๆ
ที่มันต้องหลุดลอยไปทันทีที่โลกเย็นลงและมีน้ำเกิดขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม
สมมุติว่ามีทั้งหมดผสมกันซ้ำซ้อนจนธาตุพื้น
ๆ กลายเป็นสารประกอบอนินทรีย์และเปลี่ยนต่อไปเป็นสารอินทรีย์
รวมทั้งกรดอะมิโนแล้วก็ตกลงไปในน้ำ
ตรงบริเวณนั้นโมเลกุลต่าง
ๆ
บังเอิญไม่ไปไหนแต่จะรวมกันตรงนั้นพอดี
ฟ้าผ่ามันก็บังเอิญผ่าซ้ำซากอยู่ตรงนั้นพอดีซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นล้านเป็นหลายสิบล้านหรือเป็นร้อย
ๆ ล้าน ๆ ปี
จนโมเลกุลเกิดรวมกันและสามารถผลิตตัวเองซ้ำซ้อนเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมา
มิลเล่อร์ทำกรดนิวเคลอิคในห้องทดลองได้จริงจนตอนนั้นใคร
ๆ
ก็คิดว่าวิทยาศาสตร์พิสูจน์การกำเนิดสร้างชีวิตได้แล้ว
แต่มิลเล่อร์ก็ผลิตได้แค่กรดนิวเคลอิคที่ไม่มีเปลือกไม่เป็นเซลล์
ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ไปได้แค่นั้น
หรือจะเอาทฤษฎีอสุจิสากล
(pan - spermia) ของอาเร็นเนียสนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลชาวสวีเด็น
(Svante Arhenius)
ที่บอกว่าเชื้อแห่งชีวิตมาจากนอกโลกมากับอุกกาบาตฟรานซิส
คริค
ที่พบและอธิบายดีเอนเอ
จนได้รางวัลโนเบลเช่นกัน
(Francis Crick)
ก็เล่นด้วยกับทฤษฎีนี้
จริง ๆ
ด้วยในห้วงอวกาศมีอินทรีย์สารเคมีเต็มไปหมดแม้ในเนบูล่า
มีเหล้าที่ก็เป็นอินทรีย์เคมีด้วย
ทฤษฎีนี้มีว่า
อุกกาบาตที่ตกลงบนโลกมากมายทุกวันมันนำเอาโมเลกุลแห่งชีวิตลงมาด้วย
ทำให้นึกถึงเรื่องฟ้าแสงสางที่ลงมาจากฟ้าเพราะหอมไอดิน
จึงลงมากินง้วนดินจนหมดฤทธิ์กลับขึ้นไปไม่ได้กลายเป็นต้นตระกูลของมนุษย์
ในตำนานพื้นบ้านโบราณของไทยเรา
ดังนั้นในทางวิทยาศาสตร์จนทุกวันนี้
เอากันให้แน่ในวันนี้เราเพียงรู้จักและมั่นใจในโมเลกุลสารอินทรีย์
โดยเฉพาะกรดนิวเคลอิคคือเหตุปัจจัยของชีวิตแต่มันก็หยุดอยู่แค่นั้น
แค่นิวคลิโอโปรตีนที่เป็นแม่แบบของดีเอ็นเอ
ก่อนหน้านั้นที่เป็นเรื่องของความบังเอิญมหาบังเอิญตามทฤษฎีของมิลเลอร์กับยูเรย์
เราไม่รู้หรือไม่แน่ใจส่วนมากจะไม่เชื่อด้วยซ้ำ
และหลังจากเป็นเซลล์เป็นชีวิตแรกขึ้นมาแล้วเรารู้อย่างมั่นใจได้มากพอสมควร
โดยเฉพาะในด้านของวิวัฒนาการ
ตามทฤษฎีการคัดเลือกตามธรรมชาติของชาร์ลส์ดาร์วินที่แม้ว่าอาจจะไม่เป็นจริงทั้งหมด
แต่ทว่าส่วนหนึ่งต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน
ด้วยหลักฐานทางดึกดำบรรพ์วิทยาธรณีวิทยาการศึกษาฟอสซิลชั้นดิน
และบรรยากาศของอดีตกาลนับล้านปียืนยันหลักการและส่วนสำคัญของทฤษฎีดาร์วินว่าถูกต้องเป็นความจริงส่วนช่วงวิวัฒนาการจากโมเลกุลที่ซับซ้อนเป็นชีวิตจริง
ๆ
เรายังไม่รู้แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า
เรากำลังจะพิสูจน์ได้อย่างแน่นอนในเวลาที่ไม่ช้าเกินรอ
และมันเป็นการพิสูจน์ด้วยการปฏิวัติหลักการแปลกแยกย่อยย่อรีดัคชั่นนิสม์ที่อยู่กับเรามานาน
ด้วยการรวมวินัยวิชาการที่ไม่ควรจะแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดแต่ต้นเข้าด้วยกันใหม่ในกรณีของการพิสูจน์กำเนิด
และการเริ่มของชีวิตนั้นจะเป็นการรวมฟิสิกส์เคมีชีววิทยาปรัชญาและวิชาการอื่น
ๆ ด้วยกัน
วิทยาศาสตร์บอกกับเราว่ามนุษย์เป็นผลผลิตของวิวัฒนาการ
มาจากโมเลกุลแห่งชีวิตมาตั้งแต่มีเซลล์มีชีวิตขึ้นมาในโลก
โดยใช้เวลาคัดเลือกปรับแต่งจนถึงที่สุดจนสมบูรณ์กว่านี้ไม่ได้อีกแล้วทั้งหมดใช้เวลาไปร่วม
3500 ล้านปี
ด้วยพยานหลักฐานที่แน่นหนาด้านดึกดำบรรพ์วิทยา
(Paleantology)
ที่ก้าวหน้าในระยะหลัง ๆ
จากการใช้วิธีคำนวณอายุด้วยโปแตสเซี่ยมและธอเรียมและอื่น
ๆ แทนคาร์บอน
ทำให้การตรวจหาอายุในดินหินและฟอสซิลเป็นไปได้อย่างดีและแม่นยำถอยหลังไปได้นับร้อย
ๆ ล้านปีหรือแม้เป็นพัน ๆ
ล้านปี
"นั่นเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์กายภาพ
และแน่นอนนั่นไม่ใช่ทั้งหมด
และนั่นคือที่มาของหนังสือเล่มนี้"
|