จักรวาล
ปัญญา ไม่ใช่อำนาจ
สจ๊วต
คอฟแมนนักฟิสิกส์ชีววิทยารางวัลแม็คอาร์เธอร์เฟลโลว์ที่ยิ่งใหญ่จริง
ๆ ในยุคปัจจุบัน (Suart Koffman)
อธิบายว่าระบบการจัดองค์กรของตนเอง
เป็นระบบหรือกฎของการวิวัฒนาการร่วมกันของธรรมชาติ
ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงจุดวิกฤตเช่นเดียวกับจุดของการเปลี่ยนแปลงในทฤษฎีเคออสทุกประการนั่นคือทำนายไม่ได้
ธรรมชาติทำนายไม่ได้
มันมีแต่ความเป็นไปได้อย่างใดอย่างหนึ่งในสองหรือสามอย่างหรือโอกาส
และมันจะต้องเลือกเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราไม่รู้ทายไม่ได้
นั่นคือมันจะเลือกโอกาสที่ดีที่สุดที่มันจะได้วิวัฒนาการร่วมกับกฎอื่น
ๆ
ที่เป็นธรรมชาติเช่นเดียวกันต่อไปได้
ที่เราก็ไม่รู้ว่ามันติดต่อกันได้อย่างไรที่สุดท้ายมันก็จะเลือกแต่โอกาสนั่นเท่านั้น
สรรพสิ่งทุกสรรพสิ่งมีระบบเช่นนั้น
รวมจักรวาลทั้งจักรวาลก็มีระบบเป็นเช่นนั้น
จึงเป็นเรื่องของการใช้ปัญญาไม่ใช่การใช้อำนาจ
ทั้งนี้ไม่ว่าเมื่อไหร่เวลาใด
ก็ต้องย้อนกลับไปที่อิลยา
พริโกจินอีกทีเพราะว่าไปแล้วพริโกจินนับได้ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับแนวหน้าจริง
ๆ ไม่ว่าโดยมาตรฐานของใคร
พริโกจินบอกว่าพลังงานหรือสสารที่มีโมเลกุลมากหลายเคลื่อนไหวนั้น
มันมีอยู่สองสภาพคือสภาพที่เป็นดุลยภาพ
(ที่จริงไม่มีคำว่าดุลที่พอดีเท่ากันจริง
ๆ มันมีแต่ใกล้พอดีที่สุด)
กับสภาพที่อยู่ห่างไกลที่สุดจากความเป็นดุลยภาพหรือสภาพไร้ดุลยภาพ
(dissipative system)
และในสภาพอันหลังนี้เองที่พริโกจินบอกว่ามันมีจิตใจของมันเอง
สภาพของต้นตอหรือเริ่มต้นสู่ความเป็นระเบียบจากความไร้ระเบียบ
(chaos)
โดยการจัดองค์กรให้กับตนเอง
ระบบนี้เหมือนมีชีวิตหรือว่าไปแล้วก็คือมันทำหน้าที่เป็นผู้สร้างเองดังที่ชาร์ลส์
-
เบ็นเน็ตต์นักฟิสิกส์ที่โด่งดังอีกคนหนึ่งที่พูดว่า
"ระบบไร้ดุลยภาพหรือระบบของการจัดองค์กรตนเอง
ได้เข้ามาทำหน้าที่ที่ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องของพระเจ้า
จากการที่คิดว่าสสารเป็นสิ่งแน่นิ่งกับที่
แต่ด้วยระบบนี้
ปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหลายจึงเกิดขึ้น
ไม่ว่าเป็นฟ้าแลบฟ้าผ่าเป็นมนุษย์
หรือเป็นร่มหนึ่งคัน"
น่าเสียดายที่นักวิทยาศาสตร์
โดยเฉพาะที่เก่งจริง ๆ
เช่นคอฟแมนกับพริโกจินต่างก็ทำงานเพื่อพิสูจน์ระบบการจัดองค์กรของตนเองด้วยกันทั้งคู่
รวมนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงอีกมากที่น่าร่วมมือกัน
แต่คล้าย ๆ
กับว่าผู้นำทางความคิดเหล่านี้
เหมือนกับว่าแข่งขันกันอย่างจริงจังเกินไปว่าใครจะสามารถถึงเป้าหมายก่อนกัน
ใครจะพิสูจน์ได้ก่อนกันถึงการเชื่อมโยงต่อเนื่องกันของจักรวาลและสรรพสิ่งทั้งหมดที่บางครั้งเหมือนกับว่ามีชีวิต
และเป็นชีวิตที่มีปัญญาเสียด้วยดังที่เดวิคโบห์ม
(David Bohm)
เคยพิสูจน์ได้บางส่วนว่าพลาสมาก็มีคุณสมบัติของชีวิตได้
พลาสมา
ก็คืออะตอมและโมเลกุลที่มีคุณสมบัติเป็นกลางทางไฟฟ้ามาอยู่รวมกันหนาแน่นพร้อม
ๆ
กับมีประจุไฟฟ้าบวกจำนวนมหาศาล
และอีเล็คตรอนจำนวนมากเข้ามาอยู่รวมกัน
เป็นสภาพของสสารสภาพหนึ่งนอกจากที่เป็นของแข็ง
ของเหลวและก๊าซ
พบมากในกลุ่มก๊าซในอวกาศโดยเฉพาะเนบูล่า
และก่อนการกำเนิดของดาว
บางครั้งนั้นพลาสมานอกจากสามารถจะแบ่งตัวเองได้เหมือนกับว่ามันสืบพันธุ์ได้แล้วยังสามารถตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ด้วย
เช่นร่วมกันกำจัดสิ่งสกปรกที่เข้ามาแปดเปื้อนเจือปนให้ออกไปจากเนบูล่า
หรือการวางแผนอื่น ๆ
ดังว่ามีปัญญาของมันเอง
พริโกจินนั้นเชื่อว่าระบบการจัดองค์กรตัวเองเป็นปรากฏการณ์การทางปัญญา
เป็นธรรมชาติที่ต้องเป็นไปเช่นนั้น
เมื่อถึงจุดถึงเวลาของมันซึ่งไม่มีใครทำนายล่วงหน้าได้
สรรพสิ่งที่เป็นสสารวัตถุในระดับของโมเลกุลสามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของตนเอง
"ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือโมเลกุลแต่โมเลกุลเหมือนกับว่ามันรู้ว่าโมเลกุลตัวอื่น
ๆ
ที่แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลในมาตรเปรียบเทียบกำลังคิดจะทำอะไรกัน
ราวกับว่ามันมีชีวิตและติดต่อกันได้"
|