แควนตัมเมคานิคส์
และจากวันนั้น
เริ่มแต่ทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์เมื่อต้นศตวรรษที่
20
ตามมาด้วยทฤษฎีความไม่แน่นอนของไฮเซ็นเบิร์ก
ทฤษฎีการเสริมกันและกันของนีลส์บอห์ร์ในช่วงทศวรรษที่
1920 - 1930
และทฤษฎีความจริงไม่มีตำแหน่งและกำหนดไม่ได้
ทฤษฎีความจลาจลไร้ระเบียบหรือทฤษฎีเคออสเป็นต้น
จักรวาลวิทยาและดาราศาสตร์จึงเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
ดังนี้
จักรวาลในระยะเริ่มต้นนั้นไร้รูป
ไร้สันฐาน ไร้สรรพสิ่ง
เรียบง่ายและละเอียดสงบและว่างเปล่า
เปรียบเทียบได้กับที่พุทธศาสนาได้บรรยายความจริงที่เป็นพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังของสรรพสิ่งที่กล่าวไว้ว่า
อธิกโต โข มายามัง ธัมโม
คัมภิโร ทัตโส ทุรุนุโพโธ
สันโต ปณิโธ นิปุญโญ
อตักกวัจ จาโร
บัณฑิตเวทนิโย
ดังนั้นในปัจจุบันนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์นักจักรวาลวิทยาจึงสรุปอย่างเป็นเอกฉันท์ได้ว่า
อุบัติการของการกำเนิดจักรวาลและสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เห็นและรับรู้นั้น
ล้วนเกิดขึ้นมาพร้อมกับการระเบิดบิกแบ็งและความเรียบง่ายว่างเปล่าจากสรรพสิ่งรูปธรรมใด
ๆ
ทั้งสิ้นหลังจากนั้นสรรพสิ่งจึงค่อย
ๆ คลี่ขยายออกมาเอง
ด้วยการจัดองค์กรของตนเองทีละขั้นทีละตอน
เฉกเช่นดอกไม้ที่ค่อย ๆ
สยายกลีบและเกษรเบ่งบานรับแสงอรุณเช่นนั้น
ด้วยความรู้ใหม่ ด้วยแควนตัมจักรวาลวิทยา
การคลี่ขยายหรือการจัดองค์กรตนเองสรรพสิ่งทุกสรรพสิ่งโดยไม่ยกเว้น
ไม่ว่ากาแล็คซี่
ดาวหรือโลก ไม่ว่าก้อนหิน
ป่าไม้หรือสัตว์และมนุษย์ที่ดูแปลกต่างและมหัศจรรย์ก็อุบัติขึ้นมาด้วยกระบวนการที่ว่านั้นตามลำดับ
เป็นขั้นตอน
เป็นระบบอย่างไม่หยุดนิ่งและไร้ขอบเขต
จากความเรียบง่ายไร้รูปและความว่างเปล่าทั้งสิ้น
ดุจประหนึ่งว่าจักรวาลมีชีวิตและสามารถสร้างตัวเองได้
และวิวัฒนาการได้ตามที่เอริคจ้านท์ช์กล่าวเอาไว้
(Erich Jantsch) ว่าจักรวาลมีชีวิต
มี "ฟรีวิลล์" หรือที่อิลยาพริโกจิน
(Ilya Prigogine)
นักเคมีรางวัลโนเบลอีกคนหนึ่งที่ก็กล่าวว่า
"วันหนึ่งเราจะเข้าใจกฎและกระบวนการจัดองค์กรตัวเองของจักรวาล
กระบวนการที่ไม่ใช่เรื่องของการคัดเลือกตัวเองโดยธรรมชาติอย่างตาบอด
แต่เป็นกระบวนการที่เป็นของตัวเองและเพื่อตัวเอง
|