อุบัติการของสรรพสิ่ง
เรื่องของการเกิด
หรือการสร้างชีวิตและสรรพสิ่งเป็นปฤศนาที่ลึกล้ำไม่มีใครตอบได้
ที่คาใจของมนุษย์มาตั้งแต่เริ่มต้นของประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
ดังนั้นบางตอนของประวัติศาสตร์สมควรจะนำมาเล่าบ้างเพื่อจะได้ครบวงจร
เมื่อร่วม 3500 ปีมาแล้ว
พาร์เม็นนิเดสที่เป็นนักปรัชญาชาวกรีกได้สอนว่า
"ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาได้จากความไม่มีอะไร"
และนั่นเป็นอิทธิพลที่สำคัญยิ่งต่อความเชื่อทางศาสนาที่เกิดตามตำนานของพระเจ้าเทพแห่งสวรรค์ของกรีกขึ้นมาในทางตะวันตก
เช่นศาสนาจูดาห์และศาสนาคริสเตียน
ศิษยานุศิษย์ของพาร์เม็นนิเดสสรุปว่าจักรวาล
ดาว ดวงอาทิตย์และโลก
รวมทั้งสิ่งมีชีวิตไม่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง
มันอยู่ ๆ
ก็เกิดขึ้นมาเองไม่ได้
สรรพสิ่งจะต้องถูกสร้างขึ้นมาเรียบร้อย
เป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่ต้นและจะคงที่เช่นนั้นตลอดไป
และผู้ที่จะทำเช่นนั้นได้
จะต้องทรงพลังอำนาจ
มีปัญญาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
พระเจ้าคือผู้นั้น
ต่อมาราว ๆ 500
ปีก่อนคริสตศาสนา เฮราคลิตัสได้อธิบายกระบวนการของการเกิดของสรรพสิ่งว่ามาจากพลังงานไฟ
"ไฟคือต้นตอของทุกสิ่งและอยู่ในทุกสิ่ง"
แต่เฮราคลิตัสก็ไม่ได้ปฏิเสธผู้สร้าง
ศาสนาที่อุบัติขึ้นมาทางตะวันออก
หากนับตั้งแต่ลัทธิพระเวทย์ที่อินเดียโบราณมีอายุมาก่อนหน้ากรีกนานนัก
อย่างน้อยก็หนึ่งพันปีก่อนพาร์เม็นนิเดส
จากลัทธิพระเวทย์ที่เป็นการผสมผสานเข้าด้วยกันของตำนานความเชื่อของชนชาติที่อยู่ในลุ่มน้ำสินธุ
(ดราวิเดียน)
มาก่อนกับชาวอารยันที่รุกล้ำมาจากทางเหนือ
(เอเซียกลาง) พัฒนามาเป็นฤคเวทย์ต้นของศาสนาพราหมณ์ที่กล่าวว่าสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาลเกิดขึ้นจากไฟ
ไฟที่อยู่เบื้องบน
ไฟที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์
และไฟที่เป็นธรรมชาติในใจกลางของโลก
วนเวียนเป็น "ธรรมจักรา"
จักรวาลจึงว่างเปล่า
ไม่มีการเกิดจริงหรือดับไปจริงวนเวียนเป็นวัฏจักร
(นะอันโต นะชาติ)
ศาสนาทุกศาสนาที่อุบัติขึ้นในอินเดียหลังจากนั้น
เช่นศาสนาพุทธของเรา
รวมทั้งศาสนาเต๋าที่เกิดขึ้นทางตะวันตกของจีนโบราณ
อธิบายความจริงแท้ก็คือความว่างเปล่าเช่นเดียวกัน
ศาสนาพุทธเช่นเดียวกับศาสนาพราหมณ์
ที่กล่าวว่าไม่มีหรือเป็นสิ่งที่คาดคิดไม่ได้ถึงการเกิดและการสิ้นสุดของจักรวาล
(อนามัตโก ยามัง สังสาโร
บุพพโคติ นะ ปัญญายาติ)
จักรวาลที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เป็นเพียงห่วงที่ต่อเนื่องของวิวัฒนาการเป็นวัฏกัปป์หลัง
ๆ
ของการขยายและหดตัวลงมาของจักรวาลที่หมุนเวียนต่อเนื่องไม่สิ้นสุด
(วิวัตตา สังวิวัตตา)
และจากความว่างเปล่าคลี่ขยายจากพลวัต
การเคลื่อนไหวภายใน
เป็นรังสีที่สว่างไสวเช่นสิบพันดวงอาทิตย์
(ประภัสสร)
เป็นสรรพสิ่งทั้งหลายที่รับรู้ในโลก
ทั้งหมดนั้น
เป็นการคลี่ขยายหรือการเปลี่ยนแปลงออกมาให้ปรากฎและรับรู้จากความว่างเปล่าทั้งสิ้น
การเคลื่อนไหวคลี่ขยายอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสัญลักษณ์เพียงให้รับรู้
ทั้งหมดเป็นรูปธรรมไม่มีจริง
ทั้งหมดเป็นไปตามกฎแห่งความเป็นธรรมดา
อย่างไรก็ดีแม้ว่าศาสนาพุทธและเต๋าไม่กล่าวถึงพระเจ้าหรือผู้สร้างเลย
แต่ศาสนาพราห์มณ์ที่วิวัฒนาการมาจากลัทธิพระเวทย์อธิบายผู้สร้างหรือพระเจ้าและมหาพรห์มอันเป็นคุณสมบัติหรือภาพลักษณ์ของบราห์มัณอันสูงสุด
(Brahman)
หนึ่งเดียวที่เป็นความจริงแท้ที่แสดงจักรวาลเป็นสามลักษณะหรือสามโลก
(โลกาไตรยาม)
นั่นก็คือโลกแห่งกายวัตถุที่ไม่เป็นความจริง
(physical)
ที่เป็นโลกของอวิชชาและมายา
ส่วนโลกแห่งการรับรู้และความคิดคือโลกแห่งจิต
(psychological)
สุดท้ายที่อยู่เหนือสุดคือโลกแห่งเทววิญญาณ
แห่งปัญญาอันลึกล้ำ (spiritual)
เนื่องจากโลกทั้งสามล้วนเป็นคุณสมบัติ
หรือภาพลักษณ์ของบราห์มัณที่เป็นทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่
ดังนั้นโลกทั้งสามจึงล้วนเชื่อมต่อโยงใยสัมพันธ์กันที่แยกจากกันไม่ได้
และโลกแห่งกายวัตถุที่ทางศาสนาว่าไม่เป็นความจริง
เป็นอวิชชาและมายาของการแปลภาพหรือรูปธรรมด้วยจิตของมนุษย์เราโดยเฉพาะเท่านั้น
แม้แต่จิตรับรู้ขั้นต้นของสัตว์และพืชสิ่งที่ชีวิตอื่นใดทั้งมวล
ย่อมมองเห็นโลกและความจริงทางโลกแตกต่างไปจากมนุษย์ทั้งสิ้น
แต่วิทยาศาสตร์กายวัตถุความรู้ที่อยู่กับมนุษยชาติมากกว่า
300
ปีก็ยังไม่ยอมรับเช่นนั้น
ยังถือว่าความเห็นการแปลของมนุษย์เป็นสิ่งถูกต้องสุดท้าย
สิ้นสุดเช่นนั้น
ศาสนากับวิทยาศาสตร์วัตถุนิยม
จึงอธิบายความจริงกันไปคนละด้านที่อยู่ตรงกันข้ามกันและนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น
ดังเช่นที่ปีแอร์ ไซมอน
เดอ ลาปล๊าซ (Pierre Simon de Laplace)
กล่าวว่า "หากว่าให้ใครที่มีปัญญาได้รับรู้เรื่องแรงและรู้สภาพของสรรพสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติผู้ที่มีปัญญาเช่นนั้นสามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาและสร้างเป็นสูตรสำเร็จในการบริหารและกำหนดการเคลื่อนไหวใด
ๆ
ก็ได้ให้ปรากฏต่อตาของเรา
ทั้งนี้ไม่ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร
เทหวัตถุมหึมาในจักรวาลหรือแม้อะตอมที่เล็กย่อยที่สุด
ดังนั้นเรื่องของผู้สร้าง
แม้ในรูปของสมมติฐานจึงไม่เป็นสิ่งจำเป็น"
ใช่แล้ว
ในเวลานั้นที่นักวิทยาศาสตร์แทบทั้งหมด
และก็ยังคงมีอยู่บ้างในเวลานี้
ที่หยิ่งผยองกับความจริงทางโลกกับความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์วัตถุนิยม
ที่มนุษย์เองเห็นเองแปลเองและสรุปเอาเองว่าเป็นความจริงแท้เช่นนั้น
จนกระทั่งมีวันใหม่ขึ้นมา
วันแห่งแควนตัมเมคานิคส์ฟิสิกส์ใหม่
|