การคำนวณของนักฟิสิกส์
นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาในปัจจุบัน
จึงตั้งต้นทฤษฎีของการเกิดจักรวาลที่จุดทันทีหลังการระเบิดเป็นบิกแบ็ง
ไม่มีใครกล้าพูดถึงจุดก่อนการระเบิด
ที่ตำแหน่งอันมีเวลาเป็นศูนย์
ดังที่กล่าวแล้วว่าสตีเฟ็นฮอว์กิงคิดว่ามันไม่มีเวลาเท่าใดตรงไหนที่จะนับเป็นศูนย์ได้
และถ้าไปค้นคว้าหาตรงนั้นหาศูนย์ที่ว่านั้น
จะเอาพระเจ้าที่เป็นผู้สร้างจักรวาลไว้ตรงไหน
ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงคำนวณเวลาที่สามารถจะนับได้ทางคณิตศาสตร์คือหลังการระเบิดแล้วเศษหนึ่งส่วน
10 ยกกำลัง 43 วินาที (10-43)
ขณะนั้นจักรวาลจะอยู่ที่ขนาดที่เล็กที่สุดทางคณิตศาสตร์คือ
2.6 x 10 ยกกำลังลบ 33 เซนติเมตร
(2.6x10-33)
เทียบกับอะตอมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ
10 ยกกำลับลบ 8 เซนติเมตร
จักรวาลตอนนั้นจะมีความแน่น
5 x 10 ยกกำลัง 95
กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
(5x10-95)
อุณหภูมิของจักรวาลหลังการระเบิดเวลาที่ว่านั้นจะอยู่ที่
10 ยกกำลัง 33 (10-33) องศาเคลวิน
นั่นคือความเล็กความแน่นและอุณหภูมิที่เล็กที่สุดทางคณิตศาสตร์
ทั้งหมดสามารถคำนวณได้โดยอาศัยตังคงที่สามตัวคือความเร็วของแสง
มวลและประจุไฟฟ้าของอิเล็คตรอนและตัวคงที่ของแม็กซ์แพล็งค์
(h)
และนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังเชื่อว่า
ทันทีทันใดหลังจากการเกิดบิกแบ็ง
จักรวาลจะอยู่ในสภาพที่ไร้รูปไร้สัณฐาน
เรียบและสม่ำเสมอ
ที่เราเห็นเสมือนขรุขระสะเปะสะปะไม่เป็นระเบียบ
แท้จริงตามหลักฐานใหม่ ๆ
ในปัจจุบันเป็นองค์กรที่มีระเบียบที่สุดของสรรพสิ่งเป็นต้นว่ากลุ่มก๊าซกาแล็คซี่และดวงดาว
หรือสภาพการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งเหล่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นควาซ่าร์
พัลซ่าหรือซุปเปอร์โนวาและอื่น
ๆ
ล้วนเป็นเรื่องที่เกิดทีหลังนานยิ่งนัก
ตรงนี้จึงเป็นจุดตั้งต้นของระบบอันสุดแสนพิศวงของจักรวาล
จากความเรียบไร้รูป หรือ
"ความว่างเปล่า"
ด้วยกฎแห่งความเป็นธรรมดา
สรรพสิ่งองค์ประกอบอันมหัศจรรย์ทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่เหนือคำบรรยายก็ได้อุบัติขึ้นมา
คำถาม?
อะไรหรือที่ทรงอำนาจทรงพลังสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา
สิ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่งหากเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบดุจองค์กรที่ได้สร้างเนรมิตขึ้นมา
ที่คลี่ขยายแตกลูกออกดอกออกมาจากความซ่อนเร้นและเจริญพัฒนาอย่างซับซ้อนยิ่ง
ๆ ขึ้นไปเป็นลำดับ
ที่อย่างน้อยในขั้นนี้
วนเวียนเป็นวัฏจักรสูงขึ้นไปตามลำดับด้วย
แน่นอนที่อธิบายมานั้นเป็นการอธิบายระบบของการจัดการหรือการบริหารองค์กร
ประเด็นมันจึงอยู่ที่ว่าองค์กรที่ว่านั้น
มันเกิดมาได้อย่างไรมีอะไรทำหน้าที่ผู้บริหาร
หรือว่ามันเป็นการเกิดขึ้นมาด้วยตนเองบริหารด้วยการวิวัฒนาการได้ด้วยพลังงานภายในของตนเองในทุก
ๆ
ระบบทุกระดับทุกระนาบของวิวัฒนาการ
ยกตัวอย่างเช่น
ที่กล่าวมาแล้วในเรื่องการกำเนิดของชีวิตที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ในอดีตที่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อเช่นนั้นหลงเหลืออยู่ไม่มากเท่าไรแล้ว
เคยเชื่อว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญมหาบังเอิญ
เช่นที่สแตนลีย์
มิลเลอร์และฮาโรลด์
อูเรย์ (Stanley Miller and Harold Urey)
นักชีววิทยาเคยแสดงหลักฐานอุบัติการของชีวิตจากสป๊าร์คของกระแสไฟฟ้าแทนรังสีคอมสมิคที่บังเอิญมาตรงนั้น
ต่อโมเลกุลของอินทรีย์สารเคมีที่บังเอิญมาชุมนุมอย่างซับซ้อนกันที่ตรงนั้น
ทำให้ได้กรดนิวเคลอิคที่ถือกันว่าเป็นรากแก้วของชีวิต
นั่นเมื่อ 45 ปีมาแล้ว
และเป็น 45
ปีที่กรดนิวเคลอิคก็ยังเป็นกรดนิวเคลอิคคล้ายชีวิตก็จริง
แต่ที่แน่นอนที่สุดไม่ใช่ชีวิต
ไม่ใช่เซล
ไม่ใช่จุลชีพเป็นกรดอยู่แค่นั้น
ที่จริงตอนที่ค้นพบนั้นสแตนลีย์มิลเล่อร์ยังเป็นนักศึกษาวิชาชีววิทยาและตอนนี้เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียแล้วก็ยังวุ่นอยู่กับการวิจัยในด้านชีวเคมีก่อนชีวิต
(Prebiotic)
หันเหมาศึกษาสนับสนุนการจัดองค์กรของตนเอง
(self - organizing process)
ที่เป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิงกับทฤษฎีความบังเอิญที่ทำให้เขาโด่งดังในตอนนั้น
|